รับมือปัญหาผิวหนังในหน้าฝน

1. โรคเกลื้อน

เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Pityrosporum อาศัยอยู่ในรูขุมขนของคน และกินไขมันในรูขุมขนเป็นอาหาร พบได้บ่อยบริเวณผิวหนังที่มีต่อมไขมัน เช่น หน้า ต้นคอ หน้าอก หลัง หากผู้ป่วยมีความต้านทานลดลง เหงื่อไคลหมักหมม หรือใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น เชื้อราชนิดนี้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนก่อให้เกิดโรคเกลื้อนที่มีลักษณะเป็นดวงมีขุย ขนาดตั้งแต่ 1 มม. บริเวณรอบๆ รูขุมขนหรือรวมกันจนเป็นปื้นใหญ่ ผื่นนี้อาจเป็นวงสีขาว สีชมพู สีเทา หรือสีน้ำตาลก็เป็นได้

วิธีรักษา

  • แนะนำให้ใช้ยาทาและยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทานภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  • เลือกสบู่ หรือแชมพูที่มีส่วนผสมของสารคีโตโคนาโซน หรือสารเซเลเนียมซัลไฟล์  โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำฟอกตัวให้สะอาดด้วยสบู่ตามปกติ เมื่อเสร็จแล้วอย่าเพิ่งเช็ดน้ำที่ติดบนผิวหนังออก แต่ใช้แชมพูยาลูบไปทั่วบริเวณที่เป็น ทิ้งไว้นาน 5 นาที แล้วจึงอาบน้ำล้างแชมพูออก อย่าปล่อยทิ้งแชมพูยาให้อยู่บนผิวหนังนานเพราะอาจเกิดอาการระคาย จากแชมพูยาได้
  • รักษาสุขอนามัย เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวควรจะซักและนำออกผึ่งแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้เสมอ
  • ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า หรือ ผ้าเช็ดตัว
  • แนะนำให้อาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้เหงื่อไคลหมักหมม

2. รังแค

สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดรังแคบนหนังศีรษะ คือ “เชื้อรา” ที่เจริญเติบโตได้ดีในอากาศเปียกชื้น โดยเฉพาะในหน้าฝนที่หนังศีรษะมีโอกาสเปียกฝนได้ทุกเมื่อ ทำให้หลายคนจำเป็นต้องสระผมบ่อยขึ้นเพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มากับฝนออกไป แค่เช็ดผมให้แห้งหรือปล่อยให้ผมแห้งเองนั้นอาจไม่เพียงพอ เพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุของการเกิดเชื้อรา รังแค และหนังศีรษะได้ ทำให้มีอาการคัน ในบางรายที่รุนแรงรังแคจะมีสีเหลืองเป็นไข เกร็ดใหญ่ขึ้น ซึ่งเกิดจากต่อมไขมันของหนังศีรษะอักเสบ

วิธีป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการนอนหลับขณะที่ผมยังเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราและรังแคบนหนังศีรษะ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้เส้นผมหรือเกาหนังศีรษะแรงๆ ขณะสระผม เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อจนนำมาสู่ปัญหารังแคและผมร่วมได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นสระผม เพราะจะทำให้น้ำมันธรรมชาติถูกชะล้างออกมากไป หนังศีรษะแห้ง และยังทำให้เส้นผมกระด้างด้วย 
  • หมั่นทำความสะอาดแปรงหรือหวีอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพราะสิ่งสกปรกและน้ำมันที่ตกค้างอยู่ตามหวีและแปรงอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคได้

3. โรคน้ำกัดเท้า

เกิดจากการระคายเคืองของผิวหนังเนื่องจากความเปียกชื้นและการสัมผัสสิ่งสกปรกต่างๆ ในน้ำท่วมขัง  มักพบบ่อยในช่วงหน้าฝน เนื่องจากเท้ามีโอกาสเปียกชื้นสูง ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ  ผิวหนังเปื่อยลอก  โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้าอาจมีผื่นแดงคันตามซอกนิ้วเท้าและผิวลอกออกเป็นขุยขาวๆ ได้  ในบางรายอาจมีการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า “Dermatophytes” ร่วมด้วย เนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น  นอกจากนี้ การหมักหมมของเหงื่อและการไม่รักษาความสะอาดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการเกิดโรคน้ำกัดเท้าได้อีกด้วย

วิธีป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกโดยตรง หรือการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ
  • หากมีความจำเป็นต้องเดินลุยน้ำท่วมขัง ให้ใส่รองเท้าบู๊ทยาง
  • หลังจากสัมผัสน้ำท่วมขัง ให้ล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที และเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้ว
  • ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้นอยู่เสมอ
  • หากมีบาดแผลถลอกในบริเวณที่สัมผัสน้ำสกปรกควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชะล้างหลังการสัมผัสทันที

4. เท้าเหม็น 

ปัญหาเท้าเหม็นพบบ่อยในคนที่มีเหงื่อออกมากและมีแบคทีเรียประจำกลิ่น ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะเปลี่ยนสารคัดหลั่งและเหงื่อบริเวณผิวหนังให้เป็นกลิ่นเท้า โดยเฉพาะในเพศชาย นักกีฬา นักวิ่ง คนในเครื่องแบบที่ต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน ในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ามีการเปื่อยยุ่ยหรือเป็นหลุม ถึงแม้ว่าปัญหาเท้าเหม็นจะไม่ใช่ปัญหาสุขภาพโดยตรง แต่ก็ทำให้เสียบุคลิกภาพที่ดี สูญเสียความมั่นใจกันได้            

  • หมั่นเปลี่ยนรองเท้าบ่อย ๆ และนำรองเท้าผึ่งลมผึ่งแดดบ้าง
  • เปลี่ยนถุงเท้าทุกครั้ง  ไม่ใส่ซ้ำ และเลือกใส่ถุงเท้าผ้าฝ้ายเพื่อความโปร่งสบาย
  • ใช้สารดูดกลิ่นใส่ในรองเท้า หรือสเปรย์ฉีดรองเท้าเพื่อช่วยระงับกลิ่น
  • การอาบน้ำถูสบู่ โรยแป้งฝุ่น การใช้ยา หรือการใช้สารระงับกลิ่นที่บริเวณเท้าสามารถช่วยระงับกลิ่นและทำลายแบคทีเรียที่อยู่บริเวณผิวหนังได้

ขอบคุณข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A

1. โรคเกลื้อน

เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า Pityrosporum อาศัยอยู่ในรูขุมขนของคน และกินไขมันในรูขุมขนเป็นอาหาร พบได้บ่อยบริเวณผิวหนังที่มีต่อมไขมัน เช่น หน้า ต้นคอ หน้าอก หลัง หากผู้ป่วยมีความต้านทานลดลง เหงื่อไคลหมักหมม หรือใส่เสื้อผ้าที่อับชื้น เชื้อราชนิดนี้จะเพิ่มจำนวนมากขึ้น จนก่อให้เกิดโรคเกลื้อนที่มีลักษณะเป็นดวงมีขุย ขนาดตั้งแต่ 1 มม. บริเวณรอบๆ รูขุมขนหรือรวมกันจนเป็นปื้นใหญ่ ผื่นนี้อาจเป็นวงสีขาว สีชมพู สีเทา หรือสีน้ำตาลก็เป็นได้

วิธีรักษา

  • แนะนำให้ใช้ยาทาและยาฆ่าเชื้อราชนิดรับประทานภายใต้คำแนะนำของแพทย์
  • เลือกสบู่ หรือแชมพูที่มีส่วนผสมของสารคีโตโคนาโซน หรือสารเซเลเนียมซัลไฟล์  โดยให้ผู้ป่วยอาบน้ำฟอกตัวให้สะอาดด้วยสบู่ตามปกติ เมื่อเสร็จแล้วอย่าเพิ่งเช็ดน้ำที่ติดบนผิวหนังออก แต่ใช้แชมพูยาลูบไปทั่วบริเวณที่เป็น ทิ้งไว้นาน 5 นาที แล้วจึงอาบน้ำล้างแชมพูออก อย่าปล่อยทิ้งแชมพูยาให้อยู่บนผิวหนังนานเพราะอาจเกิดอาการระคาย จากแชมพูยาได้
  • รักษาสุขอนามัย เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัวควรจะซักและนำออกผึ่งแดดให้แห้งก่อนนำมาใช้เสมอ
  • ไม่ควรใช้ของร่วมกับผู้อื่น เช่น เสื้อผ้า หรือ ผ้าเช็ดตัว
  • แนะนำให้อาบน้ำ ชำระร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้เหงื่อไคลหมักหมม

2. รังแค

สาเหตุส่วนใหญ่ของการเกิดรังแคบนหนังศีรษะ คือ “เชื้อรา” ที่เจริญเติบโตได้ดีในอากาศเปียกชื้น โดยเฉพาะในหน้าฝนที่หนังศีรษะมีโอกาสเปียกฝนได้ทุกเมื่อ ทำให้หลายคนจำเป็นต้องสระผมบ่อยขึ้นเพื่อชะล้างเอาสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มากับฝนออกไป แค่เช็ดผมให้แห้งหรือปล่อยให้ผมแห้งเองนั้นอาจไม่เพียงพอ เพราะนั่นอาจเป็นสาเหตุของการเกิดเชื้อรา รังแค และหนังศีรษะได้ ทำให้มีอาการคัน ในบางรายที่รุนแรงรังแคจะมีสีเหลืองเป็นไข เกร็ดใหญ่ขึ้น ซึ่งเกิดจากต่อมไขมันของหนังศีรษะอักเสบ

วิธีป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการนอนหลับขณะที่ผมยังเปียกชื้น เพราะอาจทำให้เกิดเชื้อราและรังแคบนหนังศีรษะ
  • หลีกเลี่ยงการขยี้เส้นผมหรือเกาหนังศีรษะแรงๆ ขณะสระผม เพราะอาจทำให้เกิดการติดเชื้อจนนำมาสู่ปัญหารังแคและผมร่วมได้
  • หลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นสระผม เพราะจะทำให้น้ำมันธรรมชาติถูกชะล้างออกมากไป หนังศีรษะแห้ง และยังทำให้เส้นผมกระด้างด้วย 
  • หมั่นทำความสะอาดแปรงหรือหวีอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง เพราะสิ่งสกปรกและน้ำมันที่ตกค้างอยู่ตามหวีและแปรงอาจเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของเชื้อโรคได้

3. โรคน้ำกัดเท้า

เกิดจากการระคายเคืองของผิวหนังเนื่องจากความเปียกชื้นและการสัมผัสสิ่งสกปรกต่างๆ ในน้ำท่วมขัง  มักพบบ่อยในช่วงหน้าฝน เนื่องจากเท้ามีโอกาสเปียกชื้นสูง ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบ  ผิวหนังเปื่อยลอก  โดยเฉพาะซอกนิ้วเท้าอาจมีผื่นแดงคันตามซอกนิ้วเท้าและผิวลอกออกเป็นขุยขาวๆ ได้  ในบางรายอาจมีการติดเชื้อราที่มีชื่อว่า “Dermatophytes” ร่วมด้วย เนื่องจากเชื้อราเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น  นอกจากนี้ การหมักหมมของเหงื่อและการไม่รักษาความสะอาดก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการเกิดโรคน้ำกัดเท้าได้อีกด้วย

วิธีป้องกัน

  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำสกปรกโดยตรง หรือการแช่อยู่ในน้ำเป็นเวลานานๆ
  • หากมีความจำเป็นต้องเดินลุยน้ำท่วมขัง ให้ใส่รองเท้าบู๊ทยาง
  • หลังจากสัมผัสน้ำท่วมขัง ให้ล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทันที และเช็ดเท้าให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้ว
  • ใส่ถุงเท้าที่สะอาดและไม่เปียกชื้นอยู่เสมอ
  • หากมีบาดแผลถลอกในบริเวณที่สัมผัสน้ำสกปรกควรใช้น้ำยาฆ่าเชื้อชะล้างหลังการสัมผัสทันที

4. เท้าเหม็น 

ปัญหาเท้าเหม็นพบบ่อยในคนที่มีเหงื่อออกมากและมีแบคทีเรียประจำกลิ่น ซึ่งแบคทีเรียชนิดนี้จะเปลี่ยนสารคัดหลั่งและเหงื่อบริเวณผิวหนังให้เป็นกลิ่นเท้า โดยเฉพาะในเพศชาย นักกีฬา นักวิ่ง คนในเครื่องแบบที่ต้องใส่รองเท้าเป็นเวลานาน ในรายที่มีอาการรุนแรงมากอาจพบว่าบริเวณฝ่าเท้ามีการเปื่อยยุ่ยหรือเป็นหลุม ถึงแม้ว่าปัญหาเท้าเหม็นจะไม่ใช่ปัญหาสุขภาพโดยตรง แต่ก็ทำให้เสียบุคลิกภาพที่ดี สูญเสียความมั่นใจกันได้            

  • หมั่นเปลี่ยนรองเท้าบ่อย ๆ และนำรองเท้าผึ่งลมผึ่งแดดบ้าง
  • เปลี่ยนถุงเท้าทุกครั้ง  ไม่ใส่ซ้ำ และเลือกใส่ถุงเท้าผ้าฝ้ายเพื่อความโปร่งสบาย
  • ใช้สารดูดกลิ่นใส่ในรองเท้า หรือสเปรย์ฉีดรองเท้าเพื่อช่วยระงับกลิ่น
  • การอาบน้ำถูสบู่ โรยแป้งฝุ่น การใช้ยา หรือการใช้สารระงับกลิ่นที่บริเวณเท้าสามารถช่วยระงับกลิ่นและทำลายแบคทีเรียที่อยู่บริเวณผิวหนังได้

ขอบคุณข้อมูลจากคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง