ทำความเข้าใจ โรคไตในผู้หญิง

     ปัจจุบันผู้หญิงกว่า 195 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease: CKD) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 8 ของผู้หญิงทั่วโลก หรือประมาณ 600,000 รายในแต่ละปี และคาดว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะสตรีวัยเจริญพันธุ์ เมื่อมีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและได้รับการบำบัดทดแทนไตจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมาก หรือมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์เป็นพิษ การแท้ง การตกเลือดหลังคลอด ทำให้มีภาวะไตวายเฉียบพลันได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่เป็นโรคไตก่อนการตั้งครรภ์ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์และวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม มาเรียนรู้โรคไตในผู้หญิงอย่างเข้าใจ

โรคไตเรื้อรังในผู้หญิง

     คือ ภาวะที่ไตมีการทำงานผิดปกติ หรือมีการทำงานของไตที่ลดลง โดยดูจากค่าอัตราการกรองของไต (estimated Glomerular Filtration Rate: eGFR) ที่ผิดปกติในระยะเวลามากกว่า 3 เดือน ขึ้นไป ระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อไตทำงานเสื่อมลงจนหน่วยไตเหลือน้อยกว่าร้อยละ 15 จะมีของเสียคั่งในกระแสเลือดและมีอาการต่างๆ ตามมา

สาเหตุของโรคไตเรื้อรังในผู้หญิง ที่พบได้บ่อยได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไตอักเสบ เช่น IgA nephropathy, Lupus nephritis, FSGS เป็นต้น
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic kidney disease)
  • โรคไตขาดเลือดจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตตีบ ซึ่งมักพบได้ในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ มีการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ หรือมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำหลายครั้ง
  • การได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นระยะเวลานาน เช่น ยา diclofenac

อาการของโรคไตเรื้อรังในผู้หญิง

  • ปัสสาวะบ่อยขึ้นในเวลากลางคืน พบได้เมื่อการทำงานของไตเริ่มเสื่อมลงในระยะแรก
  • ขาบวมและกดบุ๋ม อาจเกิดจากมีเกลือและน้ำคั่งในร่างกาย หรือมีโปรตีนรั่วมาในปัสสาวะมาก หากบวมมากจะทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยจากการมีน้ำคั่งในปอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
  • ความดันโลหิตสูง
  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร คันตามร่างกาย อ่อนเพลีย
  • อาจมีการขาดประจำเดือนและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

อาการของไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

     เมื่อการทำงานของไตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 15  จะมีอาการทางระบบอื่นตามมามากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้จนมีสภาวะขาดสารอาหาร ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ สะอึก บวม หอบเหนื่อย อาจมีอาการหอบจากการคั่งของกรดในร่างกาย หากมีอาการมากและไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะซึมลง ชักได้

 

การรักษาโรคไตเรื้อรังในผู้หญิง

1. การรักษาเพื่อการชะลอการเสื่อมของไต สำหรับผู้ป่วยระยะเริ่มต้น เช่น

  • ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง
  • การควบคุมอาหาร ลดทานอาหารเค็ม ควบคุมระดับโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส
  • การรักษาด้วยยา และหลีกเลี่ยงสารหรือยาที่มีผลเสียต่อไต
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย

2. การรักษาด้วยวิธีบำบัดทดแทนไต

     คือ กระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายเพื่อทดแทนไตที่ไม่สามารถทำงานได้เองตามที่ควรจะเป็น เพื่อช่วยขจัดของเสียที่ค้างอยู่ในร่างกาย สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้

 2.1 การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis)

     วิธีการ นำเลือดผ่านเข้าเครื่องไตเทียมไปยังตัวกรอง เพื่อฟอกเลือดให้สะอาด

     ระยะเวลา 4-5 ชั่วโมง / ครั้ง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

 2.2 การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

     วิธีการ ใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปค้างในช่องท้อง โดยอาศัยเยื่อบุช่องท้องแลกเปลี่ยนของเสียทำหน้าที่แทนไต

     ระยะเวลา วันละ 4 รอบ ต่อเนื่องกันทุกวัน หรืออาจใช้เครื่องอัติโนมัติช่วยฟอกทำการเปลี่ยนน้ำยาแทน

 2.3 การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation)

     คือ การนำไตที่ดีจากผู้บริจาคใส่ไปในผู้รับไต โดยผู้รับไตต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานสม่ำเสมอตลอดชีวิต ผู้ให้ไตแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  • ผู้ให้ไตที่ยังมีชีวิต เช่น พ่อ แม่ หรือ ญาติของผู้ป่วยที่มีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้
  • ผู้ให้ไตที่เสียชีวิตแล้ว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคไต ชั้น 6 โซน C 

     ปัจจุบันผู้หญิงกว่า 195 ล้านคนทั่วโลกเป็นโรคไตเรื้อรัง (Chronic kidney disease: CKD) ซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 8 ของผู้หญิงทั่วโลก หรือประมาณ 600,000 รายในแต่ละปี และคาดว่าจะมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะสตรีวัยเจริญพันธุ์ เมื่อมีภาวะไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายและได้รับการบำบัดทดแทนไตจะมีโอกาสตั้งครรภ์น้อยมาก หรือมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น ครรภ์เป็นพิษ การแท้ง การตกเลือดหลังคลอด ทำให้มีภาวะไตวายเฉียบพลันได้ ดังนั้น ผู้หญิงที่เป็นโรคไตก่อนการตั้งครรภ์ควรได้รับคำปรึกษาจากแพทย์และวางแผนการตั้งครรภ์อย่างเหมาะสม มาเรียนรู้โรคไตในผู้หญิงอย่างเข้าใจ

โรคไตเรื้อรังในผู้หญิง

     คือ ภาวะที่ไตมีการทำงานผิดปกติ หรือมีการทำงานของไตที่ลดลง โดยดูจากค่าอัตราการกรองของไต (estimated Glomerular Filtration Rate: eGFR) ที่ผิดปกติในระยะเวลามากกว่า 3 เดือน ขึ้นไป ระยะเริ่มแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อไตทำงานเสื่อมลงจนหน่วยไตเหลือน้อยกว่าร้อยละ 15 จะมีของเสียคั่งในกระแสเลือดและมีอาการต่างๆ ตามมา

สาเหตุของโรคไตเรื้อรังในผู้หญิง ที่พบได้บ่อยได้แก่

  • โรคเบาหวาน
  • โรคความดันโลหิตสูง
  • โรคไตอักเสบ เช่น IgA nephropathy, Lupus nephritis, FSGS เป็นต้น
  • โรคทางพันธุกรรม เช่น โรคถุงน้ำที่ไต (Polycystic kidney disease)
  • โรคไตขาดเลือดจากเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไตตีบ ซึ่งมักพบได้ในผู้ป่วยที่มีโรคหัวใจและหลอดเลือด
  • โรคนิ่วในทางเดินปัสสาวะ มีการอุดกั้นทางเดินปัสสาวะ หรือมีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะซ้ำหลายครั้ง
  • การได้รับยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เป็นระยะเวลานาน เช่น ยา diclofenac

อาการของโรคไตเรื้อรังในผู้หญิง

  • ปัสสาวะบ่อยขึ้นในเวลากลางคืน พบได้เมื่อการทำงานของไตเริ่มเสื่อมลงในระยะแรก
  • ขาบวมและกดบุ๋ม อาจเกิดจากมีเกลือและน้ำคั่งในร่างกาย หรือมีโปรตีนรั่วมาในปัสสาวะมาก หากบวมมากจะทำให้เกิดอาการหอบเหนื่อยจากการมีน้ำคั่งในปอด ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อชีวิต
  • ความดันโลหิตสูง
  • คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร คันตามร่างกาย อ่อนเพลีย
  • อาจมีการขาดประจำเดือนและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้

อาการของไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย

     เมื่อการทำงานของไตลดลงเหลือน้อยกว่าร้อยละ 15  จะมีอาการทางระบบอื่นตามมามากขึ้น เช่น คลื่นไส้ อาเจียน รับประทานอาหารไม่ได้จนมีสภาวะขาดสารอาหาร ความดันโลหิตสูง โลหิตจาง เยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ สะอึก บวม หอบเหนื่อย อาจมีอาการหอบจากการคั่งของกรดในร่างกาย หากมีอาการมากและไม่ได้รับการรักษาผู้ป่วยจะซึมลง ชักได้

 

การรักษาโรคไตเรื้อรังในผู้หญิง

1. การรักษาเพื่อการชะลอการเสื่อมของไต สำหรับผู้ป่วยระยะเริ่มต้น เช่น

  • ควบคุมโรคประจำตัวให้ดี เช่น โรคเบาหวาน และความดันโลหิตสูง
  • การควบคุมอาหาร ลดทานอาหารเค็ม ควบคุมระดับโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส
  • การรักษาด้วยยา และหลีกเลี่ยงสารหรือยาที่มีผลเสียต่อไต
  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น ลดน้ำหนัก งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย

2. การรักษาด้วยวิธีบำบัดทดแทนไต

     คือ กระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้ายเพื่อทดแทนไตที่ไม่สามารถทำงานได้เองตามที่ควรจะเป็น เพื่อช่วยขจัดของเสียที่ค้างอยู่ในร่างกาย สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้

 2.1 การฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม (Hemodialysis)

     วิธีการ นำเลือดผ่านเข้าเครื่องไตเทียมไปยังตัวกรอง เพื่อฟอกเลือดให้สะอาด

     ระยะเวลา 4-5 ชั่วโมง / ครั้ง สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง

 2.2 การล้างไตทางช่องท้อง (Peritoneal Dialysis)

     วิธีการ ใส่น้ำยาล้างไตเข้าไปค้างในช่องท้อง โดยอาศัยเยื่อบุช่องท้องแลกเปลี่ยนของเสียทำหน้าที่แทนไต

     ระยะเวลา วันละ 4 รอบ ต่อเนื่องกันทุกวัน หรืออาจใช้เครื่องอัติโนมัติช่วยฟอกทำการเปลี่ยนน้ำยาแทน

 2.3 การปลูกถ่ายไต (Kidney Transplantation)

     คือ การนำไตที่ดีจากผู้บริจาคใส่ไปในผู้รับไต โดยผู้รับไตต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานสม่ำเสมอตลอดชีวิต ผู้ให้ไตแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ

  • ผู้ให้ไตที่ยังมีชีวิต เช่น พ่อ แม่ หรือ ญาติของผู้ป่วยที่มีเนื้อเยื่อที่เข้ากันได้
  • ผู้ให้ไตที่เสียชีวิตแล้ว

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์โรคไต ชั้น 6 โซน C 

 


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง