รู้และเข้าใจ โรคภายในของผู้หญิง

1. โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma uteri / Leiomyoma)

   เนื้องอกมดลูกเป็นโรคในผู้หญิงที่พบบ่อย ส่วนมากจะพบในผู้หญิงช่วงอายุ 40 - 50 ปี การเกิดเนื้องอกมดลูกเชื่อว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์กล้ามเนื้อปกติของมดลูก โดยไม่ทราบสาเหตุแน่นอน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานว่าฮอร์โมนเพศหญิง และตัวเร่งการเจริญเติบโตที่มดลูกจะทำให้เนื้องอกโตขึ้น เพราะพบว่าส่วนใหญ่เนื้องอกจะมีขนาดเล็กลงหลังวัยหมดระดู

สัญญาณอันตราย และอาการที่พบบ่อย

  1. เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด  ส่วนใหญ่มักจะมีเลือดระดูออกมากขึ้น  บางรายอาจมองข้ามความผิดปกติ เนื่องจากเลือดระดูที่ออกมากแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากจนซีด มีอาการเหนื่อยง่าย หรือหน้ามืดเป็นลมได้บ่อย
  2. อาการจากการกดเบียดของมดลูกที่โตขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไม่สบายบริเวณหัวหน่าว ปัสสาวะบ่อยขึ้น หรืออาจกดบริเวณทวารหนักทำให้ท้องผูก
  3. ผู้ป่วยบางรายอาจคลำพบก้อนในท้อง หรือรู้สึกท้องโตขึ้นโดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
  4. เจ็บปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปเนื้องอกมดลูกจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด นอกจากจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น เลือดออกภายในก้อนเนื้องอก  หรือเกิดการอักเสบของก้อนเนื้องอก เป็นต้น

การรักษา

ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุของผู้ป่วย ขนาดของเนื้องอก ความต้องการบุตร อาการหรือภาวะแทรกซ้อน และสภาพของผู้ป่วย ในผู้ป่วยที่ก้อนเนื้องอกไม่โตมากและไม่มีอาการผิดปกติ อาจไม่ต้องให้การรักษา แต่ต้องคอยติดตามขนาดเนื้องอก เพราะวัยหมดระดูก้อนเนื้องอกจะมีขนาดเล็กลง

ส่วนผู้ที่มีเนื้องอกขนาดโต หรือมีอาการผิดปกติอันเนื่องจากก้อนเนื้องอก แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเอามดลูกทิ้ง หรือเพียงเลาะเอาก้อนเนื้องอกออกก็พอ สำหรับผู้ที่ผ่าตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก ก้อนเนื้องอกอาจจะงอกโตขึ้นมาใหม่ได้

 

 

 

2.โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ (Endometriosis) 

   โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เป็นโรคในผู้หญิงที่เกิดจากการลอกหลุดของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบเดือนทำให้เกิดเลือดประจำเดือนในสตรีตามปกติ  แต่เมื่อเยื่อบุเหล่านี้ไปเจริญอยู่ผิดที่และมีการลอกหลุดในแต่ละรอบเดือน ก็จะเกิดแผลและมีเลือดประจำเดือนขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญอยู่ เช่น เยื่อบุช่องท้อง ผนังมดลูกและรังไข่ จึงทำให้บริเวณนั้นเป็นพังผืดมองเห็นเป็นจุดเลือดออก สีแดง สีดำ หากมีขังอยู่ปริมาณมากและนาน เลือดเก่าจะมีลักษณะข้นคล้ายช็อกโกแลตสะสมอยู่บริเวณนั้น ที่เรียกกันว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” นั่นเอง

อาการที่พบบ่อย

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง บางรายปวดมากจนเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน บางรายปวดมากจนต้องหยุดงาน และในกรณีที่รอยโรคอยู่ติดกับลำไส้ ก็มักทำให้มีอาการปวดหน่วงลงทวารหนักในช่วงที่มีเลือดประจำเดือน ส่วนอาการอื่นๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง เจ็บในอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์ และภาวะมีบุตรยาก เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน นอกจากนี้ อาจมีท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ชึ่งอาการเหล่านี้มักรุนแรงขณะที่มีเลือดประจำเดือน

การรักษา

การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ส่วนการรักษาที่เฉพาะเจาะจง จะใช้ฮอร์โมนซึ่งมีทั้งชนิดกินและชนิดฉีด เช่น ยาเม็ดและยาฉีดคุมกำเนิด ฮอร์โมนเหล่านี้จะออกฤทธิ์กดการทำงานของรังไข่ มีผลทำให้รอยโรคเกิดการฝ่อ จึงช่วยลดอาการปวดได้ แต่ข้อเสียคือ ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น หากผู้ป่วยต้องการมีบุตร จึงควรรักษาด้วยการผ่าตัด 

3. โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)

   โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคในผู้หญิงที่เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิไล (Latobacilli) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้น จนเกิดการอักเสบของช่องคลอด สามารถเกิดได้กับสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ปัจจัยเสี่ยงยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน

อาการที่พบบ่อย    

ลักษณะตกขาวจะมีสีขาวเนียนปนสีเทาอ่อน มีกลิ่นเหม็นอับคล้ายกลิ่นคาวปลาเค็ม กลิ่นมักจะรุนแรงหลังการร่วมเพศหรือหลังหมดระดูใหม่ๆ ระดับความรุนแรงของกลิ่นแตกต่างกันไป บางคนไม่มีกลิ่น บางคนมีกลิ่นแรงจนคนข้างเคียงได้กลิ่น อาจมีอาการระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด และเจ็บช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์

การรักษา  

แพทย์จะให้การรักษาโดยใช้ยารับประทานในกลุ่ม Metronidazole และต้องงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ระหว่างรับการรักษา หากได้รับการรักษาแล้วมีอาการที่สงสัยว่าจะแพ้ยา เช่น มีผื่นคันตามตัว ควรรีบมาพบแพทย์ทันที

คำแนะนำการปฏิบัติตน และการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

  1. งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย ถ้าจำเป็นควรใช้ถุงยางอนามัย
  2. ไม่สวนล้างช่องคลอดหรือใช้น้ำยาล้างโดยไม่จำเป็น
  3. ดูแลความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้า ชุดชั้นใน ไม่ควรสวมใส่ชุดชั้นในหรือเสื้อผ้าที่เกิดความอับชื้นได้ง่าย ไม่ใส่ซ้ำหมักหมม และไม่ใช้ชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น     
  4. ดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังการขับถ่ายทุกครั้ง โดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วซับให้แห้งด้วยผ้า หรือทิชชู่สะอาด
  5. ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นหนอง คันบริเวณช่องคลอด ควรมาพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์นรีเวช ชั้น 2 โซน E

1. โรคเนื้องอกมดลูก (Myoma uteri / Leiomyoma)

   เนื้องอกมดลูกเป็นโรคในผู้หญิงที่พบบ่อย ส่วนมากจะพบในผู้หญิงช่วงอายุ 40 - 50 ปี การเกิดเนื้องอกมดลูกเชื่อว่า เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเซลล์กล้ามเนื้อปกติของมดลูก โดยไม่ทราบสาเหตุแน่นอน สันนิษฐานว่าอาจเกิดจากพันธุกรรม นอกจากนี้ ยังสันนิษฐานว่าฮอร์โมนเพศหญิง และตัวเร่งการเจริญเติบโตที่มดลูกจะทำให้เนื้องอกโตขึ้น เพราะพบว่าส่วนใหญ่เนื้องอกจะมีขนาดเล็กลงหลังวัยหมดระดู

สัญญาณอันตราย และอาการที่พบบ่อย

  1. เลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด  ส่วนใหญ่มักจะมีเลือดระดูออกมากขึ้น  บางรายอาจมองข้ามความผิดปกติ เนื่องจากเลือดระดูที่ออกมากแบบค่อยเป็นค่อยไป เมื่อปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานาน จะทำให้ร่างกายสูญเสียเลือดเป็นจำนวนมากจนซีด มีอาการเหนื่อยง่าย หรือหน้ามืดเป็นลมได้บ่อย
  2. อาการจากการกดเบียดของมดลูกที่โตขึ้น ทำให้ผู้ป่วยมีอาการไม่สบายบริเวณหัวหน่าว ปัสสาวะบ่อยขึ้น หรืออาจกดบริเวณทวารหนักทำให้ท้องผูก
  3. ผู้ป่วยบางรายอาจคลำพบก้อนในท้อง หรือรู้สึกท้องโตขึ้นโดยไม่มีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
  4. เจ็บปวดบริเวณท้องน้อย แต่โดยทั่วไปเนื้องอกมดลูกจะไม่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด นอกจากจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น เช่น เลือดออกภายในก้อนเนื้องอก  หรือเกิดการอักเสบของก้อนเนื้องอก เป็นต้น

การรักษา

ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น อายุของผู้ป่วย ขนาดของเนื้องอก ความต้องการบุตร อาการหรือภาวะแทรกซ้อน และสภาพของผู้ป่วย ในผู้ป่วยที่ก้อนเนื้องอกไม่โตมากและไม่มีอาการผิดปกติ อาจไม่ต้องให้การรักษา แต่ต้องคอยติดตามขนาดเนื้องอก เพราะวัยหมดระดูก้อนเนื้องอกจะมีขนาดเล็กลง

ส่วนผู้ที่มีเนื้องอกขนาดโต หรือมีอาการผิดปกติอันเนื่องจากก้อนเนื้องอก แพทย์จะให้การรักษาด้วยการผ่าตัดเอามดลูกทิ้ง หรือเพียงเลาะเอาก้อนเนื้องอกออกก็พอ สำหรับผู้ที่ผ่าตัดเอาเฉพาะก้อนเนื้องอกออก ก้อนเนื้องอกอาจจะงอกโตขึ้นมาใหม่ได้

 

 

 

2.โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ (Endometriosis) 

   โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ เป็นโรคในผู้หญิงที่เกิดจากการลอกหลุดของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละรอบเดือนทำให้เกิดเลือดประจำเดือนในสตรีตามปกติ  แต่เมื่อเยื่อบุเหล่านี้ไปเจริญอยู่ผิดที่และมีการลอกหลุดในแต่ละรอบเดือน ก็จะเกิดแผลและมีเลือดประจำเดือนขังอยู่ตามอวัยวะต่างๆ ที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญอยู่ เช่น เยื่อบุช่องท้อง ผนังมดลูกและรังไข่ จึงทำให้บริเวณนั้นเป็นพังผืดมองเห็นเป็นจุดเลือดออก สีแดง สีดำ หากมีขังอยู่ปริมาณมากและนาน เลือดเก่าจะมีลักษณะข้นคล้ายช็อกโกแลตสะสมอยู่บริเวณนั้น ที่เรียกกันว่า “ช็อกโกแลตซีสต์” นั่นเอง

อาการที่พบบ่อย

ผู้ป่วยมักมีอาการปวดประจำเดือนอย่างรุนแรง บางรายปวดมากจนเป็นลม คลื่นไส้อาเจียน บางรายปวดมากจนต้องหยุดงาน และในกรณีที่รอยโรคอยู่ติดกับลำไส้ ก็มักทำให้มีอาการปวดหน่วงลงทวารหนักในช่วงที่มีเลือดประจำเดือน ส่วนอาการอื่นๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่ ปวดท้องน้อยเรื้อรัง เจ็บในอุ้งเชิงกรานขณะมีเพศสัมพันธ์ และภาวะมีบุตรยาก เลือดออกกะปริบกะปรอยระหว่างรอบเดือน นอกจากนี้ อาจมีท้องอืด ท้องผูก ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ชึ่งอาการเหล่านี้มักรุนแรงขณะที่มีเลือดประจำเดือน

การรักษา

การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ส่วนการรักษาที่เฉพาะเจาะจง จะใช้ฮอร์โมนซึ่งมีทั้งชนิดกินและชนิดฉีด เช่น ยาเม็ดและยาฉีดคุมกำเนิด ฮอร์โมนเหล่านี้จะออกฤทธิ์กดการทำงานของรังไข่ มีผลทำให้รอยโรคเกิดการฝ่อ จึงช่วยลดอาการปวดได้ แต่ข้อเสียคือ ผู้ป่วยจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ดังนั้น หากผู้ป่วยต้องการมีบุตร จึงควรรักษาด้วยการผ่าตัด 

3. โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis)

   โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย เป็นโรคในผู้หญิงที่เกิดจากการลดลงของแบคทีเรียชนิดแลคโตบาซิไล (Latobacilli) ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียก่อโรคในช่องคลอด ทำให้แบคทีเรียก่อโรคมีจำนวนเพิ่มขึ้น จนเกิดการอักเสบของช่องคลอด สามารถเกิดได้กับสตรีที่ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ ปัจจัยเสี่ยงยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน

อาการที่พบบ่อย    

ลักษณะตกขาวจะมีสีขาวเนียนปนสีเทาอ่อน มีกลิ่นเหม็นอับคล้ายกลิ่นคาวปลาเค็ม กลิ่นมักจะรุนแรงหลังการร่วมเพศหรือหลังหมดระดูใหม่ๆ ระดับความรุนแรงของกลิ่นแตกต่างกันไป บางคนไม่มีกลิ่น บางคนมีกลิ่นแรงจนคนข้างเคียงได้กลิ่น อาจมีอาการระคายเคืองบริเวณปากช่องคลอด และเจ็บช่องคลอดเวลามีเพศสัมพันธ์

การรักษา  

แพทย์จะให้การรักษาโดยใช้ยารับประทานในกลุ่ม Metronidazole และต้องงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ประมาณ 1 สัปดาห์ระหว่างรับการรักษา หากได้รับการรักษาแล้วมีอาการที่สงสัยว่าจะแพ้ยา เช่น มีผื่นคันตามตัว ควรรีบมาพบแพทย์ทันที

คำแนะนำการปฏิบัติตน และการป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

  1. งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะรักษาหาย ถ้าจำเป็นควรใช้ถุงยางอนามัย
  2. ไม่สวนล้างช่องคลอดหรือใช้น้ำยาล้างโดยไม่จำเป็น
  3. ดูแลความสะอาดร่างกาย เสื้อผ้า ชุดชั้นใน ไม่ควรสวมใส่ชุดชั้นในหรือเสื้อผ้าที่เกิดความอับชื้นได้ง่าย ไม่ใส่ซ้ำหมักหมม และไม่ใช้ชุดชั้นในร่วมกับผู้อื่น     
  4. ดูแลความสะอาดอวัยวะสืบพันธุ์หลังการขับถ่ายทุกครั้ง โดยล้างจากด้านหน้าไปด้านหลัง แล้วซับให้แห้งด้วยผ้า หรือทิชชู่สะอาด
  5. ถ้ามีอาการผิดปกติ เช่น ตกขาวมีกลิ่นเหม็นหรือเป็นหนอง คันบริเวณช่องคลอด ควรมาพบแพทย์ ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์นรีเวช ชั้น 2 โซน E

 

 


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง