ผิวแห้ง ปัญหาผิวขาดความชุ่มชื้นดูแลอย่างไร

     ผิวแห้ง คือ ผิวหนังที่มีลักษณะแห้งตึง แตก เห็นเป็นร่อง แตกลาย เป็นเกล็ด แดงลอกเป็นขุย อาจมีอาการคันได้ เกิดจากการเสียสมดุลของสารสร้างความชุ่มชื้นตามธรรมชาติในผิวหนัง ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ และผิวหนังไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ เกิดได้จากสาเหตุทั้งภายใน และภายนอกร่างกาย

  • สาเหตุภายในร่างกาย เกิดจากร่างกายเสียสมดุลของการสร้างไขมันใต้ผิวหนัง ขาดสารที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวหนังเสียสมดุลในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) สะเก็ดเงิน (Psoriasis) ต่อมไขมันอักเสบ (Seborrheic dermatitis) เป็นต้น หรืออายุที่มากขึ้นร่างกายจะผลิตไขมันใต้ผิวหนังลดลง สูญเสียน้ำออกจากผิวมากขึ้น ทำให้ผิวหนังแห้งแตก
  • สาเหตุภายนอกร่างกาย เช่น โรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้หรือระคายเคืองจากการสัมผัสสารต่าง ๆ ทำให้โครงสร้างชั้นปกป้องผิวหนัง (skin barrier) สูญเสียไป ผิวหนังจึงแห้งแตกลอกได้ หรือสภาพอากาศที่แห้งหนาวเย็นจะดูดความชุ่มชื้นออกจากผิว หรือการอาบน้ำร้อนบ่อย ๆ จะชะล้างไขมันที่ผิวหนัง รูขุมขนขยาย ทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย

     วิธีการดูแลผิวแห้ง

  1. อาบน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่อาบน้ำร้อน หรือแช่น้ำนาน ๆ
  2. เลือกใช้สบู่เหลวที่มีค่า pH ประมาณ 5 ไม่มีน้ำหอม ไม่มีฟอง ไม่มีสารลดแรงตึงผิว
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน เช่น ยูเรีย กลีเซอรอล เซราไมด์ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม วิตามินซี  AHA BHA เนื่องจากอาจระคายเคืองผิวมากขึ้นได้
  4. ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลังอาบน้ำ เช้า-เย็น โดยทาหลังเช็ดตัวหมาด ๆ ทันที
  5. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ 6 - 8 แก้วต่อวัน รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ผักโขม ถั่วเหลือง และวิตามินเอ ซี อี จะทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น

     หากมีปัญหาผิวแห้งมาก แดงลอก คันแสบ หรือแตกเป็นแผล อาจเป็นโรคผิวหนังอื่นนอกจากผิวแห้งทั่วไป ควรพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง เพื่อให้การวินิจฉัยและดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A

 

ผิวแห้ง คือ ผิวหนังที่มีลักษณะแห้งตึง แตก เห็นเป็นร่อง แตกลาย เป็นเกล็ด แดงลอกเป็นขุย อาจมีอาการคันได้ เกิดจากการเสียสมดุลของสารสร้างความชุ่มชื้นตามธรรมชาติในผิวหนัง ทำให้ต่อมไขมันใต้ผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาน้อยกว่าปกติ และผิวหนังไม่สามารถกักเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ เกิดได้จากสาเหตุทั้งภายใน และภายนอกร่างกาย

  • สาเหตุภายในร่างกาย เกิดจากร่างกายเสียสมดุลของการสร้างไขมันใต้ผิวหนัง ขาดสารที่ทำให้ผิวชุ่มชื้น ผิวหนังเสียสมดุลในการกักเก็บน้ำ ทำให้เกิดโรคต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ผิวหนัง (Atopic dermatitis) สะเก็ดเงิน (Psoriasis) ต่อมไขมันอักเสบ (Seborrheic dermatitis) เป็นต้น หรืออายุที่มากขึ้นร่างกายจะผลิตไขมันใต้ผิวหนังลดลง สูญเสียน้ำออกจากผิวมากขึ้น ทำให้ผิวหนังแห้งแตก
  • สาเหตุภายนอกร่างกาย เช่น โรคผิวหนังอักเสบจากการแพ้หรือระคายเคืองจากการสัมผัสสารต่าง ๆ ทำให้โครงสร้างชั้นปกป้องผิวหนัง (skin barrier) สูญเสียไป ผิวหนังจึงแห้งแตกลอกได้ หรือสภาพอากาศที่แห้งหนาวเย็นจะดูดความชุ่มชื้นออกจากผิว หรือการอาบน้ำร้อนบ่อย ๆ จะชะล้างไขมันที่ผิวหนัง รูขุมขนขยาย ทำให้ผิวหนังสูญเสียความชุ่มชื้นได้ง่าย

     วิธีการดูแลผิวแห้ง

  1. อาบน้ำอุณหภูมิปกติ ไม่อาบน้ำร้อน หรือแช่น้ำนาน ๆ
  2. เลือกใช้สบู่เหลวที่มีค่า pH ประมาณ 5 ไม่มีน้ำหอม ไม่มีฟอง ไม่มีสารลดแรงตึงผิว
  3. ใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารคงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน เช่น ยูเรีย กลีเซอรอล เซราไมด์ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม วิตามินซี  AHA BHA เนื่องจากอาจระคายเคืองผิวมากขึ้นได้
  4. ทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลังอาบน้ำ เช้า-เย็น โดยทาหลังเช็ดตัวหมาด ๆ ทันที
  5. ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ 6 - 8 แก้วต่อวัน รับประทานอาหารที่มีโอเมก้า 3 สูง เช่น ปลาทู ปลาแซลมอน ผักโขม ถั่วเหลือง และวิตามินเอ ซี อี จะทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น

     หากมีปัญหาผิวแห้งมาก แดงลอก คันแสบ หรือแตกเป็นแผล อาจเป็นโรคผิวหนังอื่นนอกจากผิวแห้งทั่วไป ควรพบแพทย์เฉพาะทางผิวหนัง เพื่อให้การวินิจฉัยและดูแลรักษาที่เหมาะสมต่อไป

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A

 


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง