มะเร็งเต้านม โรคใกล้ตัวที่ควรระวัง
มะเร็งเต้านมคืออะไร?
มะเร็งเต้านม เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลล์มะเร็งเหล่านี้หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียง โดยเริ่มจากการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และอาจขยายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง และสุดท้ายแพร่กระจายไปอวัยวะห่างไกล เช่น กระดูก ปอด ตับ และสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ข้อมูลปัจจุบันพบว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูง หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และ ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศหญิง แต่พบในเพศชายได้เช่นกัน ปัจจุบันมะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้ามาพบแพทย์ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ดังนั้นสุภาพสตรีทุกท่านควรเริ่มตรวจเต้านมอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน และเข้ารับการตรวจคัดกรองโดยการทำแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวดน์เต้านม ให้เริ่มที่อายุ 40 ปี ขึ้นไปในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงปกติ แต่สำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงอาจจำเป็นต้องเริ่มตรวจคัดกรองในช่วงอายุน้อยกว่า ตามคำแนะนำของแพทย์
อาการของมะเร็งเต้านม
- ตรวจพบความผิดปกติติจากการตรวจคัดกรอง—MGUS
- คลำได้ก้อนเต้านม เต้านมใหญ่ขึ้น
- ผิวหนังเต้านมผิดรูป หนา มีรอยบุ๋ม มีแผล บวมแดง ขรุขระคล้ายผิวส้ม
- หัวนมผิดปกติ มีแผล หัวนมยุบลง มีน้ำไหลจากหัวนม
- คลำได้ก้อนใต้รักแร้ ไหปลาร้า
หากพบอาการที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมเต้านม เพื่อขอคำแนะนำและตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นทั้งอาการที่เกิดจากภาวะปกติหรือภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง การตรวจค้นที่เหมาะสมและรวดเร็วช่วยให้สามารถระบุได้ว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ หากพบว่าเป็นมะเร็ง จะสามารถเริ่มการรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายและปรับปรุงการพยากรณ์โรคให้ดีขึ้นได้
ระยะของมะเร็งเต้านม
แบ่งออกเป็น 4 ระยะตามระบบ TNM ซึ่งพิจารณาจากขนาดของก้อนมะเร็ง (T) การแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง (N) และการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น (M) โดยส่วนใหญ่ระยะของโรคมักจะยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนก่อนผ่าตัด เนื่องจากขึ้นอยู่กับผลชิ้นเนื้อที่จะนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการหลังจากการผ่าตัด
- ระยะที่ 0 (Tis, N0, M0): มะเร็งในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่แพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น
- ระยะที่ I (T1, N0, M0): ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กและยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น
- ระยะที่ II (T2-3, N0-1, M0): ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นและอาจแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
- ระยะที่ III (T0-3, N2-3, M0): มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ห่างไกลขึ้น แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
- ระยะที่ IV (T0-3, N0-3, M1): มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด ตับ หรือกระดูก
การวินิจฉัยและการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็ง การตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและการพยากรณ์โรคที่ดีขึ้น
ชนิดของมะเร็งเต้านม
ทราบได้จากการใช้ชิ้นเนื้อไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินการแสดงออกของ Estrogen Receptor (ER), Progesterone Receptor (PR) และ HER2 Receptor จากเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านม
ปัจจุบันการตรวจ Hormone Receptors (HR) และ HER2 Receptor ในมะเร็งเต้านมเป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยชนิดของมะเร็งเต้านมเพื่อประเมินพยากรณ์โรคและกำหนดการรักษาที่เหมาะสม การแบ่งชนิดมะเร็งเต้านมตามผลการตรวจนี้สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- HR+/HER2-
- HR+/HER2+
- HR-/HER2+
- HR-/HER2- หรือ Triple-negative (TNBC)
วิธีการรักษามะเร็งเต้านม
การรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีการปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย (Individual Treatment) โดยแต่ละคนอาจได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การให้ยาก่อนการผ่าตัด หรือการผ่าตัดก่อนให้ยา รวมถึงการใช้การฉายแสงหรือไม่ฉาย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค, ชนิดของมะเร็งเต้านม, ความเห็นของศัลยแพทย์ และสภาวะของผู้ป่วย โดยมักใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน (Multimodality Treatment) ซึ่งทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้ป่วยมาพบแพทย์ตั้งแต่ระยะแรก ผลการรักษาจะดีขึ้นและมีโอกาสหายขาดสูง นอกจากนี้การรักษาในปัจจุบันยังมีความก้าวหน้าและพัฒนาการที่ลดผลข้างเคียงลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต จึงทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีหากได้รับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง
- การรักษาโดยการผ่าตัด Surgery
- การให้ยา Systemic therapy
- การรักษาด้วยการฉายแสง (Radiation Therapy)
การผ่าตัดมะเร็งเต้านม Surgery
แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ การผ่าตัดที่เต้านมและการผ่าตัดที่รักแร้
1. การผ่าตัดที่เต้านม มี 2 วิธี
1.1 การผ่าตัดเต้านมทั้งเต้า (Total or Simple Mastectomy) เป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งหมด รวมถึงผิวหนังส่วนที่อยู่เหนือก้อนมะเร็งและหัวนม โดยอาจมีการผ่าตัดเพื่อเสริมสร้างเต้านมใหม่ได้ทันทีในการผ่าตัดครั้งเดียวกัน ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสมโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก
1.2 การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม หรือการผ่าตัดโดยไม่ได้ตัดเต้านมทั้งเต้า (Partial Mastectomy or Breast-conserving Surgery) เป็นการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งและเนื้อเต้านมที่อยู่รอบๆ ก้อนออกประมาณ 1 ซม. โดยผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้จะต้องได้รับการฉายรังสีที่เต้านมหลังการผ่าตัด การผ่าตัดวิธีนี้อาจไม่สามารถทำได้ในผู้ป่วยบางราย มักใช้ในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก มีเพียงตำแหน่งเดียว และ/หรือเต้านมมีขนาดใหญ่ โดยถ้าพิจารณาผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ ผลการรักษาในด้านการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งจะดีเทียบเท่ากับการตัดเต้านมออกทั้งเต้า และยังคงรูปร่างของเต้านมที่สวยงาม
2. การผ่าตัดที่รักแร้ เป็นส่วนหนึ่งของการรักษามะเร็งเต้านม เพื่อให้ทราบระยะโรคที่แม่นยำขึ้น และในกรณีที่ตรวจพบการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองรักแร้แล้ว จะเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโดยการนำต่อมน้ำเหลืองที่มีเซลล์มะเร็งออกไป การผ่าตัดมี 2 วิธี
2.1 การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเฉพาะบางส่วนโดยใช้การฉีดสีหรือเซนติเนล (Sentinel Lymph Node Biopsy) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งมีโอกาสแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้น้อย เป็นการผ่าตัดโดยการฉีดสีที่เต้านม และตรวจหาต่อมน้ำเหลืองที่ติดสีบริเวณรักแร้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มะเร็งจะกระจายไปก่อนและนำไปตรวจ หากไม่พบมะเร็งก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองอื่น ๆ ออก วิธีนี้ช่วยลดโอกาสเกิดแขนบวม (Lymphedema)
2.2 การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกทั้งหมด (Axillary Dissection): ใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ตั้งแต่แรก หรือหลังจากการตรวจพบการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล การผ่าตัดนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น แขนบวม หรือการมีอาการชาบริเวณต้นแขน โดยภาวะแทรกซ้อนอาจเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยต้องได้รับการฉายรังสีร่วมด้วย

การพิจารณาการผ่าตัด
การเลือกวิธีการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รูปร่างและขนาดของเต้านม สภาพร่างกายของผู้ป่วย และความชำนาญของศัลยแพทย์ บางครั้งผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีการผ่าตัดได้มากกว่าหนึ่งวิธี โดยศัลยแพทย์เต้านมจะช่วยแนะนำวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม พร้อมอธิบายข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม (Breast Reconstruction)
เป็นทางเลือกเพื่อฟื้นฟูรูปร่างและความมั่นใจให้กับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งเต้านม โดยสามารถเลือกวิธีการเสริมสร้างได้หลายรูปแบบ เช่น การใส่เต้านมเทียม (Prosthesis), การนำผิวหนังและเนื้อเยื่อไขมันจากบริเวณสะบัก (LD Flap) หรือหน้าท้อง (TRAM Flap) มาสร้างเต้านมใหม่ ซึ่งวิธีเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและลดความสูญเสียจากการตัดเต้านมออก หลังการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม ผู้ป่วยจะได้รับยาบรรเทาปวดเพื่อควบคุมอาการปวด โดยส่วนมากสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติหลังการผ่าตัด นอกจากนี้ หลังการผ่าตัดควรเริ่มการออกกำลังกายแขนและหัวไหล่ตั้งแต่ระยะแรก เพื่อป้องกันการเกิดข้อไหล่ติดและแขนบวม ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
การให้ยา Systemic therapy
- เคมีบำบัด Chemotherapy
- ยาที่มีการออกฤทธิ์จำเพาะ (Targeted Therapy) ยามุ่งเป้า
- ยาต้านฮอร์โมน Anti-Hormonal Therapy
- การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy)
- ยายับยั้ง CDK4/6 (CDK4/6 Inhibitors)
การรักษามะเร็งเต้านมด้วยยา เป็นการใช้ยาที่มีคุณสมบัติในการทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยยาดังกล่าวสามารถออกฤทธิ์ได้ทั่วร่างกาย ทำให้สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลาม ลดขนาดก้อนมะเร็ง และเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากมะเร็งเต้านม รวมถึงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยให้ยาวนานขึ้น ยาดังกล่าวอาจมีผลต่อเซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ไขกระดูก (ซึ่งเป็นตัวสร้างเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด) เยื่อบุทางเดินอาหาร ผมและขน และระบบสืบพันธุ์ (เช่น รังไข่) แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อเสร็จสิ้นการรักษาแล้ว เซลล์ปกติจะสามารถฟื้นฟูได้กลับมาใกล้เคียงปกติ
ปัจจุบันการให้ยาก่อนการผ่าตัดมะเร็งเต้านม (Neoadjuvant Therapy) เป็นทางเลือกที่สามารถช่วยให้ก้อนมะเร็งยุบลงและควบคุมการลุกลามของโรค โดยเฉพาะในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่หรือมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่แรก การให้ยาก่อนการผ่าตัดช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นมะเร็งใหม่หลังการผ่าตัด รวมถึงอาจทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้นและช่วยรักษารูปทรงเต้านมให้เหมาะสมมากขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดในระยะแรกได้ ส่วนการให้ยาหลังการผ่าตัด (Adjuvant Therapy) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยรวมแล้วการรักษาด้วยยาเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมมะเร็งเต้านมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยแต่ละบุคคลอาจใช้ยาที่แตกต่างกัน การเลือกยาจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย ชนิดของมะเร็ง ระยะโรค เพื่อให้การรักษามีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การรักษาด้วยการฉายแสง Radiation Therapy
ปัจจุบันเทคโนโลยีการฉายแสงรักษามะเร็งเต้านมก้าวหน้าไปมาก ทั้งในด้านเครื่องมือ เทคนิค และความชำนาญของรังสีแพทย์ ทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดความเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม และมีผลข้างเคียงน้อยลง
การฉายแสงหลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านมเป็นการใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม ก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือมีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง ระยะเวลาในการฉายแสง โดยทั่วไปอาจใช้การฉายแสงตั้งแต่ 5-30 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการประเมินจากรังสีแพทย์ มักจะฉายสัปดาห์ละ 5 วัน ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ หยุดเสาร์และอาทิตย์ โดยการฉายแสงในแต่ละวันจะกินเวลาเพียงไม่กี่นาที และในระหว่างฉายแสงท่านก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการฉายเพียงชั้นตื้น รังสีจะไม่ลงไปถึงอวัยวะสำคัญที่อยู่ลึกลงไป
ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยช่วงที่ได้รับการฉายแสง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ รวมถึงควรออกกายบริหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันข้อไหล่ติดและแขนบวม ในบางรายอาจรู้สึกเหนื่อย หรือมีการระคายเคืองที่ผิวหนัง เช่น แดง สีคล้ำ หรือคันได้ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายในเวลาไม่นาน
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดหรือเข้ารับการรักษามะเร็งเต้านม
- ท่านจะได้รับการตรวจสภาพความพร้อมของร่างกายก่อนผ่าตัด โดยการตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด และหรือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ บางรายอาจต้องพบอายุรแพทย์ก่อนผ่าตัดเพื่อประเมินร่วมดูแลรักษา
- ท่านควรนำยาที่รับประทานทั้งหมดมาแจ้งให้แพทย์ทราบ รวมถึงอาหารเสริม ยาสมุนไพร ยาบำรุงทุกชนิด
- หากท่านทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อรับคำแนะนำในการหยุดยาก่อนผ่าตัด
- หากท่านทานอาหารเสริม ยาสมุนไพรหรือยาบำรุงควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อรับคำแนะนำในการหยุดยาก่อนผ่าตัด เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลทำให้เกิดเลือดออกหลังผ่าตัดได้
- ท่านสามารถรับประทานอาหารทั่วไปได้ตามปกติ ไม่ควรงดเนื้อสัตว์ เนื่องจากอาหารปกติไม่มีผลต่อการโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
Q&A มะเร็งเต้านม
1. มะเร็งเต้านมคืออะไร?
มะเร็งเต้านม คือ โรคที่เกิดจากเซลล์ในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนมแบ่งตัวผิดปกติ และสามารถแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่นได้หากไม่รีบรักษา
2. มะเร็งเต้านมรักษาหายขาดได้ไหม?
รักษาหายได้ เมื่อตรวจพบในระยะเริ่มต้น และได้รับการรักษาที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์
3. อาการของมะเร็งเต้านมมีอะไรบ้าง?
อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลำได้ก้อนเต้านม เต้านมขนาดใหญ่ขึ้น ผิวหนังเต้านมผิดรูป หนา บุ๋ม ขรุขระคล้ายผิวส้ม หัวนมผิดปกติหรือมีน้ำไหล และคลำได้ก้อนที่รักแร้หรือไหปลาร้า
4. หัวนมผิดปกติแบบไหนที่เข้าข่ายอาการของมะเร็งเต้านม?
เช่น หัวนมยุบลงผิดรูป มีแผล หรือมีน้ำไหลออกมาโดยไม่ได้บีบ ถือเป็นอาการที่ต้องตรวจเพิ่มเติม
5. มะเร็งเต้านมแบ่งเป็นกี่ระยะ?
มะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยดูจากขนาดก้อน การกระจายไปต่อมน้ำเหลือง และการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น
6. ระยะของมะเร็งเต้านมสำคัญอย่างไร?
มีผลต่อการเลือกวิธีรักษา การประเมินพยากรณ์โรค และโอกาสหายขาด
7. วิธีการรักษามะเร็งเต้านมมีอะไรบ้าง?
การรักษามะเร็งเต้านมมี 3 วิธีหลัก ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยา (เคมีบำบัด ยามุ่งเป้า ยาต้านฮอร์โมน ภูมิคุ้มกันบำบัด) และการฉายแสง โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมตามระยะโรคและชนิดของมะเร็งค่ะ
8. การผ่าตัดมะเร็งเต้านมมีกี่แบบ?
มี 2 แบบหลัก คือ
- การผ่าตัดเต้านมทั้งเต้า (Mastectomy)
- การผ่าตัดสงวนเต้านม (Breast-conserving Surgery)
แพทย์จะพิจารณาจากขนาดก้อน ตำแหน่ง และสภาพเต้านมของผู้ป่วย
9. การรักษาด้วยการฉายแสง ต้องฉายแสงกี่ครั้ง?
โดยทั่วไป 5–30 ครั้ง ขึ้นกับขนาดก้อน ระยะโรค และการผ่าตัดที่ได้รับ
10. การให้เคมีบำบัดจำเป็นสำหรับทุกคนไหม?
ไม่จำเป็น แพทย์จะให้เฉพาะรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มะเร็งลุกลามเร็ว ต่อมน้ำเหลืองมีการกระจาย หรือเป็นชนิด Triple-negative หรือ HER2+
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์มะเร็ง ชั้น 1 โซน E
บทความที่เกี่ยวข้อง
มะเร็งเต้านมคืออะไร?
มะเร็งเต้านม เกิดจากการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนม เซลล์มะเร็งเหล่านี้หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รักษาจะสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียง โดยเริ่มจากการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ และอาจขยายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียง และสุดท้ายแพร่กระจายไปอวัยวะห่างไกล เช่น กระดูก ปอด ตับ และสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิต อย่างไรก็ตาม ข้อมูลปัจจุบันพบว่า มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่สามารถรักษาให้หายได้ ด้วยเปอร์เซ็นต์ที่สูง หากได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และ ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ในเพศหญิง แต่พบในเพศชายได้เช่นกัน ปัจจุบันมะเร็งเต้านมสามารถรักษาให้หายขาดได้ ถ้ามาพบแพทย์ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น ดังนั้นสุภาพสตรีทุกท่านควรเริ่มตรวจเต้านมอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน และเข้ารับการตรวจคัดกรองโดยการทำแมมโมแกรมและอัลตร้าซาวดน์เต้านม ให้เริ่มที่อายุ 40 ปี ขึ้นไปในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงปกติ แต่สำหรับผู้หญิงที่มีความเสี่ยงสูงอาจจำเป็นต้องเริ่มตรวจคัดกรองในช่วงอายุน้อยกว่า ตามคำแนะนำของแพทย์
อาการของมะเร็งเต้านม
- ตรวจพบความผิดปกติติจากการตรวจคัดกรอง—MGUS
- คลำได้ก้อนเต้านม เต้านมใหญ่ขึ้น
- ผิวหนังเต้านมผิดรูป หนา มีรอยบุ๋ม มีแผล บวมแดง ขรุขระคล้ายผิวส้ม
- หัวนมผิดปกติ มีแผล หัวนมยุบลง มีน้ำไหลจากหัวนม
- คลำได้ก้อนใต้รักแร้ ไหปลาร้า
หากพบอาการที่เกี่ยวข้องกับมะเร็งเต้านม ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมเต้านม เพื่อขอคำแนะนำและตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เนื่องจากอาการเหล่านี้อาจเป็นทั้งอาการที่เกิดจากภาวะปกติหรือภาวะที่ไม่ใช่มะเร็ง การตรวจค้นที่เหมาะสมและรวดเร็วช่วยให้สามารถระบุได้ว่าเป็นมะเร็งเต้านมหรือไม่ หากพบว่าเป็นมะเร็ง จะสามารถเริ่มการรักษาได้ทันท่วงที ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการหายและปรับปรุงการพยากรณ์โรคให้ดีขึ้นได้
ระยะของมะเร็งเต้านม
แบ่งออกเป็น 4 ระยะตามระบบ TNM ซึ่งพิจารณาจากขนาดของก้อนมะเร็ง (T) การแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง (N) และการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น (M) โดยส่วนใหญ่ระยะของโรคมักจะยังไม่สามารถบอกได้ชัดเจนก่อนผ่าตัด เนื่องจากขึ้นอยู่กับผลชิ้นเนื้อที่จะนำไปตรวจทางห้องปฏิบัติการหลังจากการผ่าตัด
- ระยะที่ 0 (Tis, N0, M0): มะเร็งในระยะเริ่มต้นที่ยังไม่แพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อหรืออวัยวะอื่น
- ระยะที่ I (T1, N0, M0): ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กและยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น
- ระยะที่ II (T2-3, N0-1, M0): ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่ขึ้นและอาจแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
- ระยะที่ III (T0-3, N2-3, M0): มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ห่างไกลขึ้น แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น
- ระยะที่ IV (T0-3, N0-3, M1): มะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น ปอด ตับ หรือกระดูก
การวินิจฉัยและการรักษาขึ้นอยู่กับระยะของมะเร็ง การตรวจพบในระยะเริ่มต้นจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาและการพยากรณ์โรคที่ดีขึ้น
ชนิดของมะเร็งเต้านม
ทราบได้จากการใช้ชิ้นเนื้อไปตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินการแสดงออกของ Estrogen Receptor (ER), Progesterone Receptor (PR) และ HER2 Receptor จากเนื้อเยื่อมะเร็งเต้านม
ปัจจุบันการตรวจ Hormone Receptors (HR) และ HER2 Receptor ในมะเร็งเต้านมเป็นขั้นตอนสำคัญที่ใช้ในการวินิจฉัยชนิดของมะเร็งเต้านมเพื่อประเมินพยากรณ์โรคและกำหนดการรักษาที่เหมาะสม การแบ่งชนิดมะเร็งเต้านมตามผลการตรวจนี้สามารถแบ่งได้เป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่
- HR+/HER2-
- HR+/HER2+
- HR-/HER2+
- HR-/HER2- หรือ Triple-negative (TNBC)
วิธีการรักษามะเร็งเต้านม
การรักษามะเร็งเต้านมในปัจจุบันมีการปรับให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย (Individual Treatment) โดยแต่ละคนอาจได้รับการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น การให้ยาก่อนการผ่าตัด หรือการผ่าตัดก่อนให้ยา รวมถึงการใช้การฉายแสงหรือไม่ฉาย ขึ้นอยู่กับระยะของโรค, ชนิดของมะเร็งเต้านม, ความเห็นของศัลยแพทย์ และสภาวะของผู้ป่วย โดยมักใช้การรักษาหลายวิธีร่วมกัน (Multimodality Treatment) ซึ่งทำให้การรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น หากผู้ป่วยมาพบแพทย์ตั้งแต่ระยะแรก ผลการรักษาจะดีขึ้นและมีโอกาสหายขาดสูง นอกจากนี้การรักษาในปัจจุบันยังมีความก้าวหน้าและพัฒนาการที่ลดผลข้างเคียงลงมากเมื่อเทียบกับในอดีต จึงทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาได้อย่างรวดเร็ว และมีคุณภาพชีวิตที่ดีหากได้รับคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทาง
- การรักษาโดยการผ่าตัด Surgery
- การให้ยา Systemic therapy
- การรักษาด้วยการฉายแสง (Radiation Therapy)
การผ่าตัดมะเร็งเต้านม Surgery
แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก คือ การผ่าตัดที่เต้านมและการผ่าตัดที่รักแร้
1. การผ่าตัดที่เต้านม มี 2 วิธี
1.1 การผ่าตัดเต้านมทั้งเต้า (Total or Simple Mastectomy) เป็นการผ่าตัดเอาเต้านมออกทั้งหมด รวมถึงผิวหนังส่วนที่อยู่เหนือก้อนมะเร็งและหัวนม โดยอาจมีการผ่าตัดเพื่อเสริมสร้างเต้านมใหม่ได้ทันทีในการผ่าตัดครั้งเดียวกัน ซึ่งจะพิจารณาตามความเหมาะสมโดยศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเป็นหลัก
1.2 การผ่าตัดแบบสงวนเต้านม หรือการผ่าตัดโดยไม่ได้ตัดเต้านมทั้งเต้า (Partial Mastectomy or Breast-conserving Surgery) เป็นการผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งและเนื้อเต้านมที่อยู่รอบๆ ก้อนออกประมาณ 1 ซม. โดยผู้ป่วยที่ใช้วิธีนี้จะต้องได้รับการฉายรังสีที่เต้านมหลังการผ่าตัด การผ่าตัดวิธีนี้อาจไม่สามารถทำได้ในผู้ป่วยบางราย มักใช้ในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก มีเพียงตำแหน่งเดียว และ/หรือเต้านมมีขนาดใหญ่ โดยถ้าพิจารณาผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ที่มีความชำนาญ ผลการรักษาในด้านการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งจะดีเทียบเท่ากับการตัดเต้านมออกทั้งเต้า และยังคงรูปร่างของเต้านมที่สวยงาม
2. การผ่าตัดที่รักแร้ เป็นส่วนหนึ่งของการรักษามะเร็งเต้านม เพื่อให้ทราบระยะโรคที่แม่นยำขึ้น และในกรณีที่ตรวจพบการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองรักแร้แล้ว จะเป็นการผ่าตัดเพื่อรักษาโดยการนำต่อมน้ำเหลืองที่มีเซลล์มะเร็งออกไป การผ่าตัดมี 2 วิธี
2.1 การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองเฉพาะบางส่วนโดยใช้การฉีดสีหรือเซนติเนล (Sentinel Lymph Node Biopsy) เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มะเร็งมีโอกาสแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้น้อย เป็นการผ่าตัดโดยการฉีดสีที่เต้านม และตรวจหาต่อมน้ำเหลืองที่ติดสีบริเวณรักแร้ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มะเร็งจะกระจายไปก่อนและนำไปตรวจ หากไม่พบมะเร็งก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองอื่น ๆ ออก วิธีนี้ช่วยลดโอกาสเกิดแขนบวม (Lymphedema)
2.2 การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ออกทั้งหมด (Axillary Dissection): ใช้ในกรณีที่มะเร็งมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ตั้งแต่แรก หรือหลังจากการตรวจพบการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองเซนติเนล การผ่าตัดนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น แขนบวม หรือการมีอาการชาบริเวณต้นแขน โดยภาวะแทรกซ้อนอาจเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยต้องได้รับการฉายรังสีร่วมด้วย

การพิจารณาการผ่าตัด
การเลือกวิธีการผ่าตัดจะขึ้นอยู่กับระยะของโรค ขนาดและตำแหน่งของก้อนมะเร็ง รูปร่างและขนาดของเต้านม สภาพร่างกายของผู้ป่วย และความชำนาญของศัลยแพทย์ บางครั้งผู้ป่วยสามารถเลือกวิธีการผ่าตัดได้มากกว่าหนึ่งวิธี โดยศัลยแพทย์เต้านมจะช่วยแนะนำวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม พร้อมอธิบายข้อดีข้อเสียของแต่ละวิธีเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถตัดสินใจได้อย่างรอบคอบ
การผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม (Breast Reconstruction)
เป็นทางเลือกเพื่อฟื้นฟูรูปร่างและความมั่นใจให้กับผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดมะเร็งเต้านม โดยสามารถเลือกวิธีการเสริมสร้างได้หลายรูปแบบ เช่น การใส่เต้านมเทียม (Prosthesis), การนำผิวหนังและเนื้อเยื่อไขมันจากบริเวณสะบัก (LD Flap) หรือหน้าท้อง (TRAM Flap) มาสร้างเต้านมใหม่ ซึ่งวิธีเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติและลดความสูญเสียจากการตัดเต้านมออก หลังการผ่าตัดเสริมสร้างเต้านม ผู้ป่วยจะได้รับยาบรรเทาปวดเพื่อควบคุมอาการปวด โดยส่วนมากสามารถกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติหลังการผ่าตัด นอกจากนี้ หลังการผ่าตัดควรเริ่มการออกกำลังกายแขนและหัวไหล่ตั้งแต่ระยะแรก เพื่อป้องกันการเกิดข้อไหล่ติดและแขนบวม ซึ่งเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว
การให้ยา Systemic therapy
- เคมีบำบัด Chemotherapy
- ยาที่มีการออกฤทธิ์จำเพาะ (Targeted Therapy) ยามุ่งเป้า
- ยาต้านฮอร์โมน Anti-Hormonal Therapy
- การบำบัดด้วยภูมิคุ้มกัน (Immunotherapy)
- ยายับยั้ง CDK4/6 (CDK4/6 Inhibitors)
การรักษามะเร็งเต้านมด้วยยา เป็นการใช้ยาที่มีคุณสมบัติในการทำลายหรือยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยยาดังกล่าวสามารถออกฤทธิ์ได้ทั่วร่างกาย ทำให้สามารถควบคุมเซลล์มะเร็งเต้านมไม่ให้ลุกลาม ลดขนาดก้อนมะเร็ง และเพิ่มโอกาสในการหายขาดจากมะเร็งเต้านม รวมถึงช่วยยืดอายุของผู้ป่วยให้ยาวนานขึ้น ยาดังกล่าวอาจมีผลต่อเซลล์ปกติของร่างกายที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็ว เช่น ไขกระดูก (ซึ่งเป็นตัวสร้างเม็ดเลือดและเกล็ดเลือด) เยื่อบุทางเดินอาหาร ผมและขน และระบบสืบพันธุ์ (เช่น รังไข่) แต่ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อเสร็จสิ้นการรักษาแล้ว เซลล์ปกติจะสามารถฟื้นฟูได้กลับมาใกล้เคียงปกติ
ปัจจุบันการให้ยาก่อนการผ่าตัดมะเร็งเต้านม (Neoadjuvant Therapy) เป็นทางเลือกที่สามารถช่วยให้ก้อนมะเร็งยุบลงและควบคุมการลุกลามของโรค โดยเฉพาะในกรณีที่ก้อนมะเร็งมีขนาดใหญ่หรือมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองตั้งแต่แรก การให้ยาก่อนการผ่าตัดช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการกลับมาเป็นมะเร็งใหม่หลังการผ่าตัด รวมถึงอาจทำให้การผ่าตัดง่ายขึ้นและช่วยรักษารูปทรงเต้านมให้เหมาะสมมากขึ้น ในกรณีที่ไม่สามารถผ่าตัดในระยะแรกได้ ส่วนการให้ยาหลังการผ่าตัด (Adjuvant Therapy) ก็เป็นทางเลือกหนึ่งในการป้องกันการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม เพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด
โดยรวมแล้วการรักษาด้วยยาเป็นส่วนสำคัญในการควบคุมมะเร็งเต้านมให้มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยแต่ละบุคคลอาจใช้ยาที่แตกต่างกัน การเลือกยาจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะคำนึงถึงความเหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วย ชนิดของมะเร็ง ระยะโรค เพื่อให้การรักษามีผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การรักษาด้วยการฉายแสง Radiation Therapy
ปัจจุบันเทคโนโลยีการฉายแสงรักษามะเร็งเต้านมก้าวหน้าไปมาก ทั้งในด้านเครื่องมือ เทคนิค และความชำนาญของรังสีแพทย์ ทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพสูงขึ้น ลดความเสี่ยงในการกลับเป็นซ้ำของมะเร็งเต้านม และมีผลข้างเคียงน้อยลง
การฉายแสงหลังการผ่าตัดมะเร็งเต้านมเป็นการใช้รังสีพลังงานสูงเพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง มักใช้ในผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบสงวนเต้านม ก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ หรือมีการกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลือง ระยะเวลาในการฉายแสง โดยทั่วไปอาจใช้การฉายแสงตั้งแต่ 5-30 ครั้ง ขึ้นอยู่กับการประเมินจากรังสีแพทย์ มักจะฉายสัปดาห์ละ 5 วัน ตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ หยุดเสาร์และอาทิตย์ โดยการฉายแสงในแต่ละวันจะกินเวลาเพียงไม่กี่นาที และในระหว่างฉายแสงท่านก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด เนื่องจากเป็นการฉายเพียงชั้นตื้น รังสีจะไม่ลงไปถึงอวัยวะสำคัญที่อยู่ลึกลงไป
ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงสุด โดยช่วงที่ได้รับการฉายแสง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ รวมถึงควรออกกายบริหารอย่างสม่ำเสมอเพื่อป้องกันข้อไหล่ติดและแขนบวม ในบางรายอาจรู้สึกเหนื่อย หรือมีการระคายเคืองที่ผิวหนัง เช่น แดง สีคล้ำ หรือคันได้ แต่ผลข้างเคียงเหล่านี้มักจะหายไปภายในเวลาไม่นาน
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดหรือเข้ารับการรักษามะเร็งเต้านม
- ท่านจะได้รับการตรวจสภาพความพร้อมของร่างกายก่อนผ่าตัด โดยการตรวจเลือด เอกซเรย์ปอด และหรือตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ บางรายอาจต้องพบอายุรแพทย์ก่อนผ่าตัดเพื่อประเมินร่วมดูแลรักษา
- ท่านควรนำยาที่รับประทานทั้งหมดมาแจ้งให้แพทย์ทราบ รวมถึงอาหารเสริม ยาสมุนไพร ยาบำรุงทุกชนิด
- หากท่านทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อรับคำแนะนำในการหยุดยาก่อนผ่าตัด
- หากท่านทานอาหารเสริม ยาสมุนไพรหรือยาบำรุงควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เพื่อรับคำแนะนำในการหยุดยาก่อนผ่าตัด เนื่องจากยาบางชนิดอาจมีผลทำให้เกิดเลือดออกหลังผ่าตัดได้
- ท่านสามารถรับประทานอาหารทั่วไปได้ตามปกติ ไม่ควรงดเนื้อสัตว์ เนื่องจากอาหารปกติไม่มีผลต่อการโตของเซลล์มะเร็งเต้านม
Q&A มะเร็งเต้านม
1. มะเร็งเต้านมคืออะไร?
มะเร็งเต้านม คือ โรคที่เกิดจากเซลล์ในท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนมแบ่งตัวผิดปกติ และสามารถแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่นได้หากไม่รีบรักษา
2. มะเร็งเต้านมรักษาหายขาดได้ไหม?
รักษาหายได้ เมื่อตรวจพบในระยะเริ่มต้น และได้รับการรักษาที่ถูกต้องตามคำแนะนำของแพทย์
3. อาการของมะเร็งเต้านมมีอะไรบ้าง?
อาการที่พบบ่อย ได้แก่ คลำได้ก้อนเต้านม เต้านมขนาดใหญ่ขึ้น ผิวหนังเต้านมผิดรูป หนา บุ๋ม ขรุขระคล้ายผิวส้ม หัวนมผิดปกติหรือมีน้ำไหล และคลำได้ก้อนที่รักแร้หรือไหปลาร้า
4. หัวนมผิดปกติแบบไหนที่เข้าข่ายอาการของมะเร็งเต้านม?
เช่น หัวนมยุบลงผิดรูป มีแผล หรือมีน้ำไหลออกมาโดยไม่ได้บีบ ถือเป็นอาการที่ต้องตรวจเพิ่มเติม
5. มะเร็งเต้านมแบ่งเป็นกี่ระยะ?
มะเร็งเต้านมแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยดูจากขนาดก้อน การกระจายไปต่อมน้ำเหลือง และการแพร่กระจายไปอวัยวะอื่น
6. ระยะของมะเร็งเต้านมสำคัญอย่างไร?
มีผลต่อการเลือกวิธีรักษา การประเมินพยากรณ์โรค และโอกาสหายขาด
7. วิธีการรักษามะเร็งเต้านมมีอะไรบ้าง?
การรักษามะเร็งเต้านมมี 3 วิธีหลัก ได้แก่ การผ่าตัด การให้ยา (เคมีบำบัด ยามุ่งเป้า ยาต้านฮอร์โมน ภูมิคุ้มกันบำบัด) และการฉายแสง โดยแพทย์จะเลือกวิธีที่เหมาะสมตามระยะโรคและชนิดของมะเร็งค่ะ
8. การผ่าตัดมะเร็งเต้านมมีกี่แบบ?
มี 2 แบบหลัก คือ
- การผ่าตัดเต้านมทั้งเต้า (Mastectomy)
- การผ่าตัดสงวนเต้านม (Breast-conserving Surgery)
แพทย์จะพิจารณาจากขนาดก้อน ตำแหน่ง และสภาพเต้านมของผู้ป่วย
9. การรักษาด้วยการฉายแสง ต้องฉายแสงกี่ครั้ง?
โดยทั่วไป 5–30 ครั้ง ขึ้นกับขนาดก้อน ระยะโรค และการผ่าตัดที่ได้รับ
10. การให้เคมีบำบัดจำเป็นสำหรับทุกคนไหม?
ไม่จำเป็น แพทย์จะให้เฉพาะรายที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มะเร็งลุกลามเร็ว ต่อมน้ำเหลืองมีการกระจาย หรือเป็นชนิด Triple-negative หรือ HER2+
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์มะเร็ง ชั้น 1 โซน E
บทความที่เกี่ยวข้อง


