ฝีดาษลิง กับเรื่องที่ควรรู้

     โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด DNA ชื่อ monkey pox เป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเกิดการติดเชื้อในสัตว์มาก่อน และสามารถติดเชื้อจากสัตว์สู่คนได้ โดยต้นกำเนิดพื้นที่การระบาดอยู่ในทวีปแอฟริกาตอนกลางถึงตะวันตกแล้วจึงแพร่ระบาดไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะมีอาการคล้ายกับโรคฝีดาษคน แต่ฝีดาษลิงมีความสามารถในการแพร่กระจายโรคได้น้อยกว่า และธรรมชาติของโรคมีความรุนแรงน้อยกว่าฝีดาษคนมาก

     ไวรัสฝีดาษลิงนี้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง (clade 1) และสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก (clade 2) โดยสายพันธุ์แอฟริกากลางจะมีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าและอาจแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่า

     โรคฝีดาษลิง ติดต่อได้อย่างไรบ้าง?

     โรคฝีดาษลิงติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัส ทั้งจากสัตว์สู่คน (ได้แก่ สัตว์จำพวกหนู กระรอก และลิง) และจากคนสู่คนที่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ

  • สัมผัสที่ผื่นโดยตรง สัมผัสเลือด สัมผัสสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย การไอจาม หรือจากสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
  • ติดต่อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่จากทางเดินหายใจ พบในผู้ที่อยู่ใกล้ชิด พูดคุยกันเป็นเวลานาน
  • ติดต่อจากแม่สู่ลูกผ่านทางรกได้

     อาการของโรคฝีดาษลิงมีความรุนแรงหรือไม่?

     เมื่อได้รับเชื้อฝีดาษลิง จะมีอาการเกิดขึ้นได้ภายใน 6 - 13 วัน หรืออาจพบได้ถึง 21 วัน (หรือที่เรียกว่าระยะฟักตัว) โดยลักษณะอาการดั้งเดิมของโรคฝีดาษลิง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ

  1. ระยะแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยที่ติดเชื้อฝีดาษลิงจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ที่สำคัญคือมีต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งแตกต่างจากโรคสุกใส หรือโรคฝีดาษคน ระยะนี้อาจมีอาการได้ถึง 5 วัน
  2. ระยะผื่น เกิดขึ้นภายใน 3 วัน หลังจากมีไข้ ผื่นจะมีลักษณะเป็นผื่นแบน จากนั้นค่อยนูนเป็นตุ่มน้ำใส หรือเป็นตุ่มหนอง และแตกเป็นสะเก็ดหลุดไปในที่สุด ผื่นมักเกิดที่หน้าและแขนขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มากกว่าที่ตัว สามารถพบได้ในเยื่อบุต่าง ๆ เช่น ในช่องปาก เยื่อบุตา และอวัยวะเพศ

     อย่างไรก็ตามในปี 2565 ที่ผ่านมา โรคฝีดาษลิงพบการระบาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกา และยังพบผู้ป่วยยืนยันในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจต่างไปจากอาการดั้งเดิม ได้แก่

  1. ไข้ สามารถเป็นได้ทั้งก่อนเป็นผื่น ขณะเกิดผื่น หรือหลังเกิดผื่น ซึ่งผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงบางรายอาจไม่มีไข้
  2. ผื่น ส่วนใหญ่มาพบแพทย์ด้วยตุ่มน้ำและตุ่มหนอง หรือเป็นสะเก็ด ซึ่งผื่นสามารถพบได้หลายระยะพร้อมกัน และมักมีอาการเจ็บที่ผื่น
  3. จำนวนผื่นที่มีไม่มาก จากการศึกษาพบว่า กว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมีผื่นไม่ถึง 10 ผื่น และเป็นแผลที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก โดยไม่มีผื่นที่อื่นเลย ได้ถึงร้อยละ 10
  4. ตำแหน่งผื่น พบที่บริเวณอวัยวะเพศมากที่สุด รองลงมาคือที่ตัว แขน ขา หน้า อาจมีผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าได้ ส่วนใหญ่พบหลายบริเวณพร้อมกัน

     ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่หากพบอาการรุนแรง มักเกิดจากการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ปอด เชื้อลามไปที่สมอง เกิดสมองอักเสบ บางรายติดเชื้อที่กระจกตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ ผู้ที่มีอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้ 3 - 6%

 

 

ที่มาภาพ: http://www.bccdc.ca/health-professionals/clinical-resources/monkeypox#clinical

 

 

     การรักษาโรคฝีดาษลิง และการดูแลผิวหนังเมื่อมีการติดเชื้อฝีดาษลิง

  1. หากไม่ได้ทำการรักษาโรคฝีดาษลิง ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ธรรมชาติของโรคจะหายได้เองภายใน 2 - 4 สัปดาห์
  2. การรักษาโรคฝีดาษลิง เป็นการรักษาแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน เป็นต้น
  3. การดูแลผิวหนังที่ติดเชื้อฝีดาษลิง ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกมีดังนี้
    • งดแกะเกาที่ผื่น
    • รักษาความสะอาดของผิวหนังไม่ให้อับชื้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม
    • ควรล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ ก่อนและหลังการสัมผัสผื่น
    • ทำความสะอาดผื่นด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
    • ไม่ควรปิดผื่นให้มิดชิด แต่ควรเปิดผื่นให้ระบายอากาศได้
    • หากผื่นมีอาการปวด บวมแดง หรือเป็นหนอง แนะนำให้รีบพบแพทย์

     ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 90 มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังจากผื่นหาย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสามารถเกิดแผลเป็นภายหลังผื่นหายได้ หากมีอาการผิดปกติหรือไม่แน่ใจแนะนำให้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

บทความโดย พญ.ภัทริยา จรรยาชัยเลิศ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A

     โรคฝีดาษลิง เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิด DNA ชื่อ monkey pox เป็นเชื้อไวรัสในกลุ่ม Orthopoxvirus ซึ่งเกิดการติดเชื้อในสัตว์มาก่อน และสามารถติดเชื้อจากสัตว์สู่คนได้ โดยต้นกำเนิดพื้นที่การระบาดอยู่ในทวีปแอฟริกาตอนกลางถึงตะวันตกแล้วจึงแพร่ระบาดไปสู่ภูมิภาคอื่น ๆ ถึงแม้ว่าโรคฝีดาษลิงจะมีอาการคล้ายกับโรคฝีดาษคน แต่ฝีดาษลิงมีความสามารถในการแพร่กระจายโรคได้น้อยกว่า และธรรมชาติของโรคมีความรุนแรงน้อยกว่าฝีดาษคนมาก

     ไวรัสฝีดาษลิงนี้ สามารถแบ่งได้เป็น 2 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์แอฟริกากลาง (clade 1) และสายพันธุ์แอฟริกาตะวันตก (clade 2) โดยสายพันธุ์แอฟริกากลางจะมีการติดเชื้อที่รุนแรงกว่าและอาจแพร่กระจายเชื้อได้ง่ายกว่า

     โรคฝีดาษลิง ติดต่อได้อย่างไรบ้าง?

     โรคฝีดาษลิงติดต่อได้โดยตรงจากการสัมผัส ทั้งจากสัตว์สู่คน (ได้แก่ สัตว์จำพวกหนู กระรอก และลิง) และจากคนสู่คนที่ใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ

  • สัมผัสที่ผื่นโดยตรง สัมผัสเลือด สัมผัสสารคัดหลั่งต่าง ๆ จากร่างกาย เช่น น้ำมูก น้ำลาย การไอจาม หรือจากสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส
  • ติดต่อผ่านละอองฝอยขนาดใหญ่จากทางเดินหายใจ พบในผู้ที่อยู่ใกล้ชิด พูดคุยกันเป็นเวลานาน
  • ติดต่อจากแม่สู่ลูกผ่านทางรกได้

     อาการของโรคฝีดาษลิงมีความรุนแรงหรือไม่?

     เมื่อได้รับเชื้อฝีดาษลิง จะมีอาการเกิดขึ้นได้ภายใน 6 - 13 วัน หรืออาจพบได้ถึง 21 วัน (หรือที่เรียกว่าระยะฟักตัว) โดยลักษณะอาการดั้งเดิมของโรคฝีดาษลิง สามารถแบ่งได้เป็น 2 ระยะ

  1. ระยะแพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่วยที่ติดเชื้อฝีดาษลิงจะมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ที่สำคัญคือมีต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งแตกต่างจากโรคสุกใส หรือโรคฝีดาษคน ระยะนี้อาจมีอาการได้ถึง 5 วัน
  2. ระยะผื่น เกิดขึ้นภายใน 3 วัน หลังจากมีไข้ ผื่นจะมีลักษณะเป็นผื่นแบน จากนั้นค่อยนูนเป็นตุ่มน้ำใส หรือเป็นตุ่มหนอง และแตกเป็นสะเก็ดหลุดไปในที่สุด ผื่นมักเกิดที่หน้าและแขนขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า มากกว่าที่ตัว สามารถพบได้ในเยื่อบุต่าง ๆ เช่น ในช่องปาก เยื่อบุตา และอวัยวะเพศ

     อย่างไรก็ตามในปี 2565 ที่ผ่านมา โรคฝีดาษลิงพบการระบาดใหญ่ทั่วโลก โดยเฉพาะในทวีปยุโรปและอเมริกา และยังพบผู้ป่วยยืนยันในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจต่างไปจากอาการดั้งเดิม ได้แก่

  1. ไข้ สามารถเป็นได้ทั้งก่อนเป็นผื่น ขณะเกิดผื่น หรือหลังเกิดผื่น ซึ่งผู้ป่วยโรคฝีดาษลิงบางรายอาจไม่มีไข้
  2. ผื่น ส่วนใหญ่มาพบแพทย์ด้วยตุ่มน้ำและตุ่มหนอง หรือเป็นสะเก็ด ซึ่งผื่นสามารถพบได้หลายระยะพร้อมกัน และมักมีอาการเจ็บที่ผื่น
  3. จำนวนผื่นที่มีไม่มาก จากการศึกษาพบว่า กว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมีผื่นไม่ถึง 10 ผื่น และเป็นแผลที่อวัยวะเพศหรือทวารหนัก โดยไม่มีผื่นที่อื่นเลย ได้ถึงร้อยละ 10
  4. ตำแหน่งผื่น พบที่บริเวณอวัยวะเพศมากที่สุด รองลงมาคือที่ตัว แขน ขา หน้า อาจมีผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าได้ ส่วนใหญ่พบหลายบริเวณพร้อมกัน

     ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่หากพบอาการรุนแรง มักเกิดจากการติดเชื้อซ้ำซ้อนที่ปอด เชื้อลามไปที่สมอง เกิดสมองอักเสบ บางรายติดเชื้อที่กระจกตา ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ ผู้ที่มีอาการรุนแรงมีโอกาสเสียชีวิตได้ 3 - 6%

 

 

ที่มาภาพ: http://www.bccdc.ca/health-professionals/clinical-resources/monkeypox#clinical

 

 

     การรักษาโรคฝีดาษลิง และการดูแลผิวหนังเมื่อมีการติดเชื้อฝีดาษลิง

  1. หากไม่ได้ทำการรักษาโรคฝีดาษลิง ในผู้ป่วยส่วนใหญ่ ธรรมชาติของโรคจะหายได้เองภายใน 2 - 4 สัปดาห์
  2. การรักษาโรคฝีดาษลิง เป็นการรักษาแบบประคับประคอง เช่น การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ การป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน เป็นต้น
  3. การดูแลผิวหนังที่ติดเชื้อฝีดาษลิง ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลกมีดังนี้
    • งดแกะเกาที่ผื่น
    • รักษาความสะอาดของผิวหนังไม่ให้อับชื้น เพื่อป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม
    • ควรล้างมือด้วยสบู่ หรือแอลกอฮอล์ ก่อนและหลังการสัมผัสผื่น
    • ทำความสะอาดผื่นด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ
    • ไม่ควรปิดผื่นให้มิดชิด แต่ควรเปิดผื่นให้ระบายอากาศได้
    • หากผื่นมีอาการปวด บวมแดง หรือเป็นหนอง แนะนำให้รีบพบแพทย์

     ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 90 มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนหลังจากผื่นหาย อย่างไรก็ตามผู้ป่วยสามารถเกิดแผลเป็นภายหลังผื่นหายได้ หากมีอาการผิดปกติหรือไม่แน่ใจแนะนำให้มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

บทความโดย พญ.ภัทริยา จรรยาชัยเลิศ ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง