การใช้ยาแอสไพรินกับโรคหลอดเลือดสมอง (Aspirin and Stroke)

แอสไพรินคืออะไร?

     แอสไพริน เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการอักเสบ เช่น อาการปวด บวม แดง ร้อนต่าง ๆ และมีฤทธิ์ลดไข้ นอกจากนี้ฤทธิ์ที่สำคัญของยานี้ที่ใช้อย่างแพร่หลาย คือ ฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด ทำให้ยานี้ถูกใช้ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองอุดตัน และเส้นเลือดแดงที่ขาอุดตัน

กลไกการออกฤทธิ์

  • ยับยั้งเอนไซม์ในร่างกายที่ทำให้เกิดสารอักเสบ
  • ยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด

ดังนั้น ผลที่ได้จากการใช้ยาแอสไพริน นอกจากจะบรรเทาอาการอักเสบแล้ว ยังทำให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกันได้ยากมากขึ้น

ข้อบ่งใช้และขนาดยา

การใช้ยาแอสไพรินมี 2 ข้อบ่งใช้

  • ใช้ตามอาการเพื่อบรรเทาอาการอักเสบและลดไข้ ขนาดยาแอสไพรินในข้อบ่งใช้นี้ควรเป็นขนาดยาที่สูง คือ 325 - 650 มิลลิกรัม 
  • ใช้เพื่อต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันหลอดเลือด และการใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด

หากผู้ป่วยไม่เคยได้รับยาแอสไพรินมาก่อน ในวันแรกที่มีอาการแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาแอสไพรินขนาด 300 - 325 มิลลิกรัม เพื่อให้ระดับยาในเลือดมากพอ และเกิดการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดอย่างรวดเร็ว ป้องกันการเกิดการอุดตันหลอดเลือดซ้ำอีก จากนั้นจะลดขนาดยาลงเป็นแอสไพรินขนาดต่ำลง เช่น 81 มิลลิกรัม โดยรับประทานหลังอาหารทันที โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาแอสไพรินขนาดต่ำต่อเนื่องไปตลอดเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของภาวะหลอดเลือดอุดตัน

ข้อควรระวัง/ข้อห้าม

  1. ระวังการใช้ยาในเด็กหรือวัยรุ่นที่มีการติดเชื้อไวรัส โดยจะทำให้เกิดอาการของตับอักเสบ และสมองอักเสบ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในเด็กอายุน้อยกว่า 16-19 ปี
  2. ยาจะทำให้อาการเลือดออกผิดปกติเกิดได้ง่ายมากขึ้นเนื่องจากฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของยากลุ่มนี้ จึงควรสังเกตอาการ (จุดจ้ำเลือดขึ้นตามผิวหนัง) หลังการใช้ยาอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ทันที ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก เช่น ผู้ป่วยโรคเลือดออกผิดปกติ ผู้ป่วยไข้เลือดออก
  3. ผู้ป่วยที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดหรือถอนฟัน คนไข้ต้องหยุดยาแอสไพรินล่วงหน้าประมาณ 7 วันก่อนทำหัตถการ และต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง ห้ามหยุดยาเอง
  4. ไม่ควรหักแบ่งยา เพราะตัวยาที่ถูกเคลือบไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาและระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างรับประทานยาแอสไพริน เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของอาการเลือดออกผิดปกติ
  6. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยาแอสไพริน และแพ้ยาอื่น ๆ ในกลุ่ม NSAIDs
  7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในผู้ป่วยโรคหืด เพราะยาจะไปหดหลอดลม ส่งผลให้โรคหืดกำเริบ
  8. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในสตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากส่งผลต่อทารกในครรภ์

อาการข้างเคียง

  • คลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง
  • ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แผลในทางเดินอาหาร
  • หลอดลมตีบ โรคหืดกำเริบ
  • เลือดออกผิดปกติ
  • ผื่นลมพิษ

แอสไพริน ป้องกัน Stroke ได้จริงหรือ?

     แนะนำการใช้ยาแอสไพริน ในขนาดต่ำ คือ 75 - 100 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองแบบปฐมภูมิ (Primary prevention) ในผู้ป่วยอายุ 40 - 70 ปี เฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และต้องมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกต่ำ

     อย่างไรก็ตาม ควรใช้ยาในผู้ป่วยที่แพทย์ได้ทำการประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคหลอดเลือดสมองอย่างแท้จริง และมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกต่ำ

     ไม่แนะนำการใช้ยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองแบบปฐมภูมิ ในผู้ป่วยอายุมากกว่า 70 ปี และผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเลือดออก เช่น

  • ผู้ป่วยที่มีประวัติเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคแผลลึกในทางเดินอาหาร
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกได้ เช่น ยาแก้ปวดแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) และยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) เป็นต้น

หากมีข้อสงสัยว่า ควรได้รับยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ควรเริ่มการใช้ยาด้วยตนเอง หรือหากท่านรับประทานยาแอสไพรินอยู่แล้ว และมีข้อสงสัยว่าควรรับประทานยาแอสไพรินต่อหรือไม่ ควรทำการปรึกษาแพทย์มากกว่าการพิจารณาหยุดใช้ยาด้วยตนเอง

ความเชื่อ vs ข้อเท็จจริง

โรคหลอดเลือดสมองไม่สามารถป้องกันได้

  • โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้หลายวิธี

โรคหลอดเลือดสมองไม่สามารถรักษาได้

  • โรคหลอดเลือดสมองต้องได้รับการรักษาฉุกเฉิน

โรคหลอดเลือดสมองเกิดได้กับผู้สูงอายุเท่านั้น

  • โรคหลอดเลือดสมองเกิดได้กับทุกคน

การฟื้นตัวของโรคหลอดเลือดสมองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังเป็นโรค

  • การฟื้นตัวของโรคหลอดเลือดสมองจะดำเนินต่อไปตลอดชีวิต

ยาแอสไพรินเป็นตัวช่วยที่ดีที่ควรมีติดบ้าน

  • ยาแอสไพรินแม้ว่าจะช่วยสลายลิ่มเลือด แต่ไม่เสมอไป

โรคหลอดเลือดสมองไม่เกิดขึ้นซ้ำภายในครอบครัว

  • หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง คุณจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มมากขึ้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชกรรม โทร 1474 กด 2

แอสไพรินคืออะไร?

     แอสไพริน เป็นยาที่มีฤทธิ์ในการรักษาอาการอักเสบ เช่น อาการปวด บวม แดง ร้อนต่าง ๆ และมีฤทธิ์ลดไข้ นอกจากนี้ฤทธิ์ที่สำคัญของยานี้ที่ใช้อย่างแพร่หลาย คือ ฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือด ทำให้ยานี้ถูกใช้ในการป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการอุดตันของหลอดเลือด เช่น เส้นเลือดหัวใจอุดตัน เส้นเลือดสมองอุดตัน และเส้นเลือดแดงที่ขาอุดตัน

กลไกการออกฤทธิ์

  • ยับยั้งเอนไซม์ในร่างกายที่ทำให้เกิดสารอักเสบ
  • ยับยั้งการสร้างสารที่ทำให้เกิดการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด

ดังนั้น ผลที่ได้จากการใช้ยาแอสไพริน นอกจากจะบรรเทาอาการอักเสบแล้ว ยังทำให้เกล็ดเลือดเกาะกลุ่มกันได้ยากมากขึ้น

ข้อบ่งใช้และขนาดยา

การใช้ยาแอสไพรินมี 2 ข้อบ่งใช้

  • ใช้ตามอาการเพื่อบรรเทาอาการอักเสบและลดไข้ ขนาดยาแอสไพรินในข้อบ่งใช้นี้ควรเป็นขนาดยาที่สูง คือ 325 - 650 มิลลิกรัม 
  • ใช้เพื่อต้านการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันหลอดเลือด และการใช้อย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการเกิดการอุดตันของหลอดเลือด

หากผู้ป่วยไม่เคยได้รับยาแอสไพรินมาก่อน ในวันแรกที่มีอาการแพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยาแอสไพรินขนาด 300 - 325 มิลลิกรัม เพื่อให้ระดับยาในเลือดมากพอ และเกิดการยับยั้งการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือดอย่างรวดเร็ว ป้องกันการเกิดการอุดตันหลอดเลือดซ้ำอีก จากนั้นจะลดขนาดยาลงเป็นแอสไพรินขนาดต่ำลง เช่น 81 มิลลิกรัม โดยรับประทานหลังอาหารทันที โดยผู้ป่วยจะต้องรับประทานยาแอสไพรินขนาดต่ำต่อเนื่องไปตลอดเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำของภาวะหลอดเลือดอุดตัน

ข้อควรระวัง/ข้อห้าม

  1. ระวังการใช้ยาในเด็กหรือวัยรุ่นที่มีการติดเชื้อไวรัส โดยจะทำให้เกิดอาการของตับอักเสบ และสมองอักเสบ จึงควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ในเด็กอายุน้อยกว่า 16-19 ปี
  2. ยาจะทำให้อาการเลือดออกผิดปกติเกิดได้ง่ายมากขึ้นเนื่องจากฤทธิ์ต้านเกล็ดเลือดของยากลุ่มนี้ จึงควรสังเกตอาการ (จุดจ้ำเลือดขึ้นตามผิวหนัง) หลังการใช้ยาอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ทันที ระวังการใช้ยาในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออก เช่น ผู้ป่วยโรคเลือดออกผิดปกติ ผู้ป่วยไข้เลือดออก
  3. ผู้ป่วยที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัดหรือถอนฟัน คนไข้ต้องหยุดยาแอสไพรินล่วงหน้าประมาณ 7 วันก่อนทำหัตถการ และต้องปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง ห้ามหยุดยาเอง
  4. ไม่ควรหักแบ่งยา เพราะตัวยาที่ถูกเคลือบไว้จะถูกปลดปล่อยออกมาและระคายเคืองกระเพาะอาหาร
  5. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ระหว่างรับประทานยาแอสไพริน เนื่องจากเพิ่มความเสี่ยงของอาการเลือดออกผิดปกติ
  6. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่แพ้ยาแอสไพริน และแพ้ยาอื่น ๆ ในกลุ่ม NSAIDs
  7. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในผู้ป่วยโรคหืด เพราะยาจะไปหดหลอดลม ส่งผลให้โรคหืดกำเริบ
  8. หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพรินในสตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์ เนื่องจากส่งผลต่อทารกในครรภ์

อาการข้างเคียง

  • คลื่นไส้ อาเจียน ปวดมวนท้อง
  • ระคายเคืองกระเพาะอาหาร แผลในทางเดินอาหาร
  • หลอดลมตีบ โรคหืดกำเริบ
  • เลือดออกผิดปกติ
  • ผื่นลมพิษ

แอสไพริน ป้องกัน Stroke ได้จริงหรือ?

     แนะนำการใช้ยาแอสไพริน ในขนาดต่ำ คือ 75 - 100 มิลลิกรัม เพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองแบบปฐมภูมิ (Primary prevention) ในผู้ป่วยอายุ 40 - 70 ปี เฉพาะผู้ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง และต้องมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกต่ำ

     อย่างไรก็ตาม ควรใช้ยาในผู้ป่วยที่แพทย์ได้ทำการประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงต่อโรคหลอดเลือดสมองอย่างแท้จริง และมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกต่ำ

     ไม่แนะนำการใช้ยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมองแบบปฐมภูมิ ในผู้ป่วยอายุมากกว่า 70 ปี และผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะเลือดออก เช่น

  • ผู้ป่วยที่มีประวัติเลือดออกในทางเดินอาหาร
  • ผู้ป่วยที่มีประวัติเป็นโรคแผลลึกในทางเดินอาหาร
  • ผู้ป่วยที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
  • ผู้ป่วยที่มีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด
  • ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยาอื่น ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะเลือดออกได้ เช่น ยาแก้ปวดแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs ยากลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (corticosteroids) และยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) เป็นต้น

หากมีข้อสงสัยว่า ควรได้รับยาแอสไพรินเพื่อป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมองตีบ โรคหลอดเลือดสมองอุดตันหรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ ไม่ควรเริ่มการใช้ยาด้วยตนเอง หรือหากท่านรับประทานยาแอสไพรินอยู่แล้ว และมีข้อสงสัยว่าควรรับประทานยาแอสไพรินต่อหรือไม่ ควรทำการปรึกษาแพทย์มากกว่าการพิจารณาหยุดใช้ยาด้วยตนเอง

ความเชื่อ vs ข้อเท็จจริง

โรคหลอดเลือดสมองไม่สามารถป้องกันได้

  • โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้หลายวิธี

โรคหลอดเลือดสมองไม่สามารถรักษาได้

  • โรคหลอดเลือดสมองต้องได้รับการรักษาฉุกเฉิน

โรคหลอดเลือดสมองเกิดได้กับผู้สูงอายุเท่านั้น

  • โรคหลอดเลือดสมองเกิดได้กับทุกคน

การฟื้นตัวของโรคหลอดเลือดสมองจะเกิดขึ้นเพียงไม่กี่เดือนหลังเป็นโรค

  • การฟื้นตัวของโรคหลอดเลือดสมองจะดำเนินต่อไปตลอดชีวิต

ยาแอสไพรินเป็นตัวช่วยที่ดีที่ควรมีติดบ้าน

  • ยาแอสไพรินแม้ว่าจะช่วยสลายลิ่มเลือด แต่ไม่เสมอไป

โรคหลอดเลือดสมองไม่เกิดขึ้นซ้ำภายในครอบครัว

  • หากครอบครัวมีประวัติเป็นโรคหลอดเลือดสมอง คุณจะมีโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดสมองเพิ่มมากขึ้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ฝ่ายเภสัชกรรม โทร 1474 กด 2


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง