การรักษามะเร็งตับโดยการให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางสายสวนหลอดเลือด
โรคมะเร็งตับ เกิดจากเซลล์ตับที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้องอกร้าย เรียกว่า มะเร็งตับ (hepatocellular carcinoma) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตปริมาณมากด้วยโรคนี้ สาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับคือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และการดื่มแอลกอฮอล์ หากตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้น โรคมะเร็งตับก็สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งการรักษาหลักของโรคมะเร็งตับ คือการผ่าตัดเอาเนื้องอกและเนื้อตับบางส่วนออก แต่บางกรณีอาจมีผู้ป่วยที่มีก้อนเนื้องอกมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการทางรังสีร่วมรักษา (interventional radiology) ได้แก่ การรักษาด้วยการจี้ก้อนเนื้องอก (tumor ablation) และการให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางสายสวนหลอดเลือด (Transarterial chemoembolization; TACE)
TACE คือ วิธีรักษามะเร็งตับชนิดหนึ่ง โดยแพทย์จะฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงก้อนมะเร็งโดยตรง จากนั้นจะอุดหลอดเลือดเหล่านั้นเพื่อตัดเส้นทางการเลี้ยงของก้อนมะเร็ง
ทำให้ก้อนมะเร็งขาดเลือดและตายไปในที่สุด วิธีนี้เหมาะสำหรับ ผู้ป่วยมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือผู้ป่วยที่ต้องการลดขนาดก้อนมะเร็งก่อนผ่าตัด โดยทั่วไปแล้ว การรักษาด้วย TACE จะทำซ้ำทุก ๆ 6-8 สัปดาห์ เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาเติบโตอีก
ขั้นตอนการรักษา
- ผู้ป่วยนอนหงายบนเตียง และจะได้รับการตรวจวัดสัญญาณชีพก่อน ระหว่าง และหลังทำการตรวจรักษา เป็นระยะ ๆ
- แพทย์ฉีดยาชาบริเวณที่จะทำการสอดสายสวน เช่น ขาหนีบขวา หรือข้อมือซ้าย
- แพทย์ทำการใส่สายสวนหลอดเลือดเพื่อไปถึงหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงก้อนเนื้องอก
- ระหว่างตรวจรักษา จะมีการตรวจเอกซเรย์เป็นระยะ ๆ และอาจได้รับคำสั่งให้ หายใจเข้า/ออก หรือกลั้นหายใจ
- ใช้ระยะเวลาการตรวจประมาณ 2 ชั่วโมง
- หลังการตรวจ แพทย์จะนำอุปกรณ์สายสวนออกให้ทั้งหมด และกดแผลให้เลือดหยุดประมาณ 15-30 นาที
การปฏิบัติตัวภายหลังการรักษา
- หลังการรักษาผู้ป่วยต้องนอนราบบนเตียงอีก 6 ชั่วโมงเพื่อป้องกันเลือดออกที่ขาหนีบและเฝ้า ระวังอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
- ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ คลื่นไส้ หรือปวดท้องเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
ข้อบ่งชี้ในการรักษา
- ก้อนเนื้องอกมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดหรือจี้ก้อนเนื้องอกได้
- ใช้ลดขนาดก้อนก่อนเข้ารับการผ่าตัดตับ
- ใช้ควบคุมก้อนเนื้องอกระหว่างรอรับการรักษาด้วยการเปลี่ยนตับ
ข้อห้ามและข้อจำกัดในการรักษา
- ผู้ป่วยมะเร็งตับในขั้น Child’s class C
- ผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคมะเร็งตับไปอวัยวะอื่น ๆ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดหลังการรักษา
1. ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
- ไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ได้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำการตรวจรักษา
2. ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย
- เลือดออก หรือมีก้อนเลือดบริเวณที่ใส่สายสวน
- ติดเชื้อ หรือเป็นฝีในตับ
- ตับวาย
ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่ในระยะแรกของโรค มักไม่มีอาการผิดปกติ เมื่อก้อนเนื้อร้ายมีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดจุกบริเวณชายโครงขวาหรือช่องท้องส่วนบน, เบื่ออาหาร, น้ำหนักตัวลดลง, ท้องมาน, ขาบวม, ปัสสาวะมีเหลืองเข้ม, ตาและตัวเหลือง หรือดีซ่าน ถ้าผู้ป่วยมะเร็งตับมาพบแพทย์ด้วยอาการเหล่านี้ มักตรวจพบเนื้องอกมีขนาดใหญ่หรือเป็นมะเร็งในระยะลุกลาม ดังนั้นการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะมีอาการชัดเจน จะสามารถให้การรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ได้ผลดีขึ้น หากไม่แน่ใจหรือสงสัยในความผิดปกติ ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดทันที
บทความโดย : รศ. นพ. สมราช ธรรมธรวัฒน์
อ้างอิงจาก https://www.sicir.org ศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช โรงพยาบาลศิริราช
โรคมะเร็งตับ เกิดจากเซลล์ตับที่มีการเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้องอกร้าย เรียกว่า มะเร็งตับ (hepatocellular carcinoma) ซึ่งเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญ เนื่องจากมีผู้เสียชีวิตปริมาณมากด้วยโรคนี้ สาเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับคือ การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบซี และการดื่มแอลกอฮอล์ หากตรวจพบได้ในระยะเริ่มต้น โรคมะเร็งตับก็สามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งการรักษาหลักของโรคมะเร็งตับ คือการผ่าตัดเอาเนื้องอกและเนื้อตับบางส่วนออก แต่บางกรณีอาจมีผู้ป่วยที่มีก้อนเนื้องอกมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ แพทย์จะพิจารณาการรักษาด้วยวิธีการทางรังสีร่วมรักษา (interventional radiology) ได้แก่ การรักษาด้วยการจี้ก้อนเนื้องอก (tumor ablation) และการให้ยาเคมีบำบัดผ่านทางสายสวนหลอดเลือด (Transarterial chemoembolization; TACE)
TACE คือ วิธีรักษามะเร็งตับชนิดหนึ่ง โดยแพทย์จะฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปในหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงก้อนมะเร็งโดยตรง จากนั้นจะอุดหลอดเลือดเหล่านั้นเพื่อตัดเส้นทางการเลี้ยงของก้อนมะเร็ง
ทำให้ก้อนมะเร็งขาดเลือดและตายไปในที่สุด วิธีนี้เหมาะสำหรับ ผู้ป่วยมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ หรือผู้ป่วยที่ต้องการลดขนาดก้อนมะเร็งก่อนผ่าตัด โดยทั่วไปแล้ว การรักษาด้วย TACE จะทำซ้ำทุก ๆ 6-8 สัปดาห์ เพื่อกำจัดเซลล์มะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ หรือเพื่อป้องกันไม่ให้มะเร็งกลับมาเติบโตอีก
ขั้นตอนการรักษา
- ผู้ป่วยนอนหงายบนเตียง และจะได้รับการตรวจวัดสัญญาณชีพก่อน ระหว่าง และหลังทำการตรวจรักษา เป็นระยะ ๆ
- แพทย์ฉีดยาชาบริเวณที่จะทำการสอดสายสวน เช่น ขาหนีบขวา หรือข้อมือซ้าย
- แพทย์ทำการใส่สายสวนหลอดเลือดเพื่อไปถึงหลอดเลือดแดงที่เลี้ยงก้อนเนื้องอก
- ระหว่างตรวจรักษา จะมีการตรวจเอกซเรย์เป็นระยะ ๆ และอาจได้รับคำสั่งให้ หายใจเข้า/ออก หรือกลั้นหายใจ
- ใช้ระยะเวลาการตรวจประมาณ 2 ชั่วโมง
- หลังการตรวจ แพทย์จะนำอุปกรณ์สายสวนออกให้ทั้งหมด และกดแผลให้เลือดหยุดประมาณ 15-30 นาที
การปฏิบัติตัวภายหลังการรักษา
- หลังการรักษาผู้ป่วยต้องนอนราบบนเตียงอีก 6 ชั่วโมงเพื่อป้องกันเลือดออกที่ขาหนีบและเฝ้า ระวังอาการแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
- ผู้ป่วยอาจมีอาการไข้ คลื่นไส้ หรือปวดท้องเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
- ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1-2 วัน
ข้อบ่งชี้ในการรักษา
- ก้อนเนื้องอกมะเร็งตับที่ไม่สามารถผ่าตัดหรือจี้ก้อนเนื้องอกได้
- ใช้ลดขนาดก้อนก่อนเข้ารับการผ่าตัดตับ
- ใช้ควบคุมก้อนเนื้องอกระหว่างรอรับการรักษาด้วยการเปลี่ยนตับ
ข้อห้ามและข้อจำกัดในการรักษา
- ผู้ป่วยมะเร็งตับในขั้น Child’s class C
- ผู้ป่วยที่มีการแพร่กระจายของโรคมะเร็งตับไปอวัยวะอื่น ๆ
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดหลังการรักษา
1. ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย
- ไข้ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ได้ประมาณ 1 สัปดาห์หลังทำการตรวจรักษา
2. ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อย
- เลือดออก หรือมีก้อนเลือดบริเวณที่ใส่สายสวน
- ติดเชื้อ หรือเป็นฝีในตับ
- ตับวาย
ผู้ป่วยมะเร็งตับส่วนใหญ่ในระยะแรกของโรค มักไม่มีอาการผิดปกติ เมื่อก้อนเนื้อร้ายมีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดจุกบริเวณชายโครงขวาหรือช่องท้องส่วนบน, เบื่ออาหาร, น้ำหนักตัวลดลง, ท้องมาน, ขาบวม, ปัสสาวะมีเหลืองเข้ม, ตาและตัวเหลือง หรือดีซ่าน ถ้าผู้ป่วยมะเร็งตับมาพบแพทย์ด้วยอาการเหล่านี้ มักตรวจพบเนื้องอกมีขนาดใหญ่หรือเป็นมะเร็งในระยะลุกลาม ดังนั้นการวินิจฉัยโรคมะเร็งตับได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ ก่อนที่จะมีอาการชัดเจน จะสามารถให้การรักษาด้วยวิธีต่าง ๆ ได้ผลดีขึ้น หากไม่แน่ใจหรือสงสัยในความผิดปกติ ควรพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการตรวจอย่างละเอียดทันที
บทความโดย : รศ. นพ. สมราช ธรรมธรวัฒน์
อ้างอิงจาก https://www.sicir.org ศูนย์รังสีร่วมรักษาศิริราช โรงพยาบาลศิริราช