โรคอีสุกอีใสในเด็ก

โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี

โรคอีสุกอีใสเกิดจากอะไร?

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อผ่านทางลมหายใจ ไอ จาม การสัมผัสกับผู้ป่วยหรือใช้ของร่วมกัน เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย หลังรับเชื้อนานเท่าไรจึงมีอาการป่วย (ระยะฟักตัว) มีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน

ระยะติดต่อนานเท่าไร?

ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อโรคได้ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนผื่นขึ้น จนผื่นแห้งเป็นสะเก็ดทั้งหมด

อาการโรคอีสุกอีใสเป็นอย่างไร?

ผู้ป่วยจะมีไข้อาจสูงหรือต่ำประมาณ 1-2 วัน มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ หลังจากไข้จะมีผื่นแดงเม็ดเล็ก ๆ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส และมากขึ้นเรื่อย ๆ เยื่อบุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อบุในช่องปาก ลำคอ หรือเยื่อบุตา และจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น มีขนาดใหญ่และแตกได้ง่าย หรือฝ่อกลายเป็นสะเก็ด เมื่อโรคหายแล้วจะยังคงมีเชื้อบางส่วนหลงเหลืออยู่ และเชื้อชนิดนี้มักจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในภายหลังเมื่อยามที่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำลง

การรักษาทำอย่างไร?

  1. การรักษาส่วนใหญ่เป็นรักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  2. ถ้ามีอาการไข้ให้เช็ดตัว กินยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามกินยาแอสไพรินเพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้
  3. หากมีอาการคันที่ผิวหนังอาจทายาแก้คัน เช่น คารามาย (Calamine lotion) หรือกินยาต้านฮิสตามีน บรรเทาอาการคัน
  4. ผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มที่คัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้
  5. ควรแยกผู้ป่วยออกจากบุคคลอื่นจนพ้นระยะติดต่อ รวมทั้งแยกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  6. ผู้ป่วยที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์
  7. การให้ยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยานี้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือโรคผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือสเตียรอยด์อยู่เป็นประจำ ส่วนในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และมีสุขภาพแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใสมีอะไร?

ภาวะแทรกซ้อนมักพบในทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรงคือ ติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ปอดอักเสบ  สมองอักเสบ เป็นต้น

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส

แม้วัคซีนสามารถป้องกันโรคได้ผลกว่าร้อยละมากกว่า 90% แต่ผู้ที่ฉีดแล้วยังมีโอกาสเป็นโรคได้แต่อาการจะไม่รุนแรง เริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี เข็มสองฉีดห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ถ้าอายุเกิน 13 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน

เคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้วจะเป็นอีกไหม?

โรคอีสุกอีใสโดยทั่วไปเป็นแล้วมักไม่กลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งหากติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นตลอดชีวิต โดยพบว่าในคนที่มีภูมิต้านทานปกติสามารถเป็นโรคอีสุกอีใสครั้งที่สองได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงและไม่ค่อยเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่มีโรคประจำตัวต้องกินยากดภูมิหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถเป็นซ้ำได้บ่อยกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก พญ.สลักจิต ราษฎร์อาศัย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E

บทความที่เกี่ยวข้อง

 

 โรคอีสุกอีใส เป็นโรคที่ระบาดแพร่กระจายได้ง่าย โดยเฉพาะในโรงเรียน สถานรับเลี้ยงเด็ก หรือตามชุมชนที่อยู่อาศัยทั่วไป เป็นโรคที่พบได้ตลอดทั้งปี

โรคอีสุกอีใสเกิดจากอะไร?

โรคอีสุกอีใสเป็นโรคติดต่อผ่านทางลมหายใจ ไอ จาม การสัมผัสกับผู้ป่วยหรือใช้ของร่วมกัน เกิดจากเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella virus) สามารถเป็นได้ทุกเพศทุกวัย หลังรับเชื้อนานเท่าไรจึงมีอาการป่วย (ระยะฟักตัว) มีระยะฟักตัวประมาณ 10-21 วัน

ระยะติดต่อนานเท่าไร?

ผู้ป่วยจะสามารถแพร่เชื้อโรคได้ตั้งแต่ 48 ชั่วโมงก่อนผื่นขึ้น จนผื่นแห้งเป็นสะเก็ดทั้งหมด

อาการโรคอีสุกอีใสเป็นอย่างไร?

ผู้ป่วยจะมีไข้อาจสูงหรือต่ำประมาณ 1-2 วัน มีอาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ปวดกล้ามเนื้อ หลังจากไข้จะมีผื่นแดงเม็ดเล็ก ๆ ต่อมาจะกลายเป็นตุ่มน้ำใส และมากขึ้นเรื่อย ๆ เยื่อบุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเยื่อบุในช่องปาก ลำคอ หรือเยื่อบุตา และจะกลายเป็นตุ่มน้ำขุ่น มีขนาดใหญ่และแตกได้ง่าย หรือฝ่อกลายเป็นสะเก็ด เมื่อโรคหายแล้วจะยังคงมีเชื้อบางส่วนหลงเหลืออยู่ และเชื้อชนิดนี้มักจะหลบซ่อนอยู่ในปมประสาท จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคงูสวัดในภายหลังเมื่อยามที่ร่างกายอ่อนแอ หรือมีภูมิคุ้มกันต่ำลง

การรักษาทำอย่างไร?

  1. การรักษาส่วนใหญ่เป็นรักษาตามอาการ เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการติดเชื้อไวรัส จึงไม่จำเป็นต้องกินยาปฏิชีวนะ ยกเว้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน
  2. ถ้ามีอาการไข้ให้เช็ดตัว กินยาลดไข้พาราเซตามอล ห้ามกินยาแอสไพรินเพราะอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้
  3. หากมีอาการคันที่ผิวหนังอาจทายาแก้คัน เช่น คารามาย (Calamine lotion) หรือกินยาต้านฮิสตามีน บรรเทาอาการคัน
  4. ผู้ป่วยควรตัดเล็บให้สั้นและหลีกเลี่ยงการแกะหรือเกาตุ่มที่คัน เพราะจะทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้
  5. ควรแยกผู้ป่วยออกจากบุคคลอื่นจนพ้นระยะติดต่อ รวมทั้งแยกข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า แก้วน้ำ ช้อน จาน ชาม ฯลฯ เพื่อหลีกเลี่ยงการแพร่กระจายของเชื้อโรค
  6. ผู้ป่วยที่เป็นหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือผู้ป่วยมีอาการแทรกซ้อนควรไปพบแพทย์
  7. การให้ยาต้านไวรัส แพทย์จะพิจารณาให้ยานี้เฉพาะผู้ป่วยกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรง เช่น ผู้ป่วยที่มีอายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคเรื้อรังทางปอดหรือโรคผิวหนัง ผู้ที่ได้รับยาแอสไพรินหรือสเตียรอยด์อยู่เป็นประจำ ส่วนในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 12 ปี และมีสุขภาพแข็งแรง ไม่จำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้

ภาวะแทรกซ้อนของโรคอีสุกอีใสมีอะไร?

ภาวะแทรกซ้อนมักพบในทารกแรกเกิด ผู้ใหญ่ หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อยและรุนแรงคือ ติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง การติดเชื้อในกระแสเลือด ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ ปอดอักเสบ  สมองอักเสบ เป็นต้น

วัคซีนป้องกันโรคอีสุกอีใส

แม้วัคซีนสามารถป้องกันโรคได้ผลกว่าร้อยละมากกว่า 90% แต่ผู้ที่ฉีดแล้วยังมีโอกาสเป็นโรคได้แต่อาการจะไม่รุนแรง เริ่มฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 1 ปีขึ้นไป โดยในเด็กอายุน้อยกว่า 12 ปี เข็มสองฉีดห่างกันอย่างน้อย 3 เดือน ถ้าอายุเกิน 13 ปีขึ้นไป แนะนำให้ฉีด 2 เข็มห่างกันอย่างน้อย 1 เดือน

เคยเป็นโรคอีสุกอีใสแล้วจะเป็นอีกไหม?

โรคอีสุกอีใสโดยทั่วไปเป็นแล้วมักไม่กลับเป็นซ้ำได้อีก ซึ่งหากติดเชื้อแล้วจะมีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นตลอดชีวิต โดยพบว่าในคนที่มีภูมิต้านทานปกติสามารถเป็นโรคอีสุกอีใสครั้งที่สองได้ แต่อาการมักไม่รุนแรงและไม่ค่อยเกิดภาวะแทรกซ้อน ซึ่งแตกต่างจากผู้ที่มีโรคประจำตัวต้องกินยากดภูมิหรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง สามารถเป็นซ้ำได้บ่อยกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก พญ.สลักจิต ราษฎร์อาศัย

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E

บทความที่เกี่ยวข้อง

 


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง