กินยาให้ครบวัณโรคหายขาด
วัณโรค (Tuberculosis) เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis นอกจากจะทำให้เกิดวัณโรคปอดแล้ว ยังส่งผลให้เกิดวัณโรคกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อ ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น วัณโรคสามารถรักษาได้ด้วยการกินยารักษาวัณโรค หากผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การติดต่อ
เชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจรับเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในละอองฝอย ขณะที่ผู้ป่วยไอ จาม บ้วนน้ำลาย ขากเสมหะ หรือการใช้เสียง เชื้อวัณโรคที่ตกลงสู่พื้นหรือติดอยู่กับผิวสัมผัสของวัตถุอื่น ๆ จะถูกทำลายไปได้ง่ายโดยแสงสว่างและอากาศที่ถ่ายเทสะดวก ดังนั้น สมาชิกในครอบครัว ผู้ร่วมอาศัย รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค และรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดวัณโรค
- สภาพร่างกาย ความแข็งแรงของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการเป็นวัณโรคได้ง่าย
- ผู้เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- ระยะเวลาและความใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค
อาการของผู้ป่วยวัณโรค
ในระยะแรกจะสังเกตได้ยากเพราะอาการเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นวัณโรค อาการที่พบได้แก่
- มีไข้เรื้อรังต่ำ ๆ มักจะเป็นตอนเย็นหรือบ่าย บางรายอาจมีเหงื่อออกตอนกลางคืน
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจมีเลือดออกร่วมได้
แนวทางการรักษา
แม้วัณโรคจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกันหากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด ดังนั้น เป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ การรักษาให้หายขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อและป้องกันการดื้อยาของเชื้อวัณโรค
- ผู้ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid, rifampicin, pyrazinamide, ethambutol
- เมื่อรักษาครบ 2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยวัณโรค
ข้อควรปฏิบัติ
- ต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์กำหนด หลังได้รับการรักษาไปแล้ว 2 - 4 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมักเข้าใจผิดว่ารักษาหายแล้วจึงไม่รับประทานยาต่อ แต่ในความเป็นจริงการรับประทานยาไม่ครบตามกำหนดไม่สามารถรักษาให้หายได้และทำให้เชื้อดื้อยา ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย
- แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่คือก่อนนอน ห้ามแบ่งรับประทานยาหลายเวลาตามมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ระดับยาในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
- หลังรับประทานยาหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นคัน ให้ติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด หากมีอาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้หยุดยาทั้งหมดแล้วรีบมาพบแพทย์
- ในช่วงแรกของการรักษาผู้ป่วยควรแยกห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น หลังรับประทานยาแล้ว 2 สัปดาห์ สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ
- ขณะไอหรือจามต้องใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือถุงที่ปิดมิดชิด แล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และออกกำลังกายได้ตามความเหมาะสม
- ควรอยู่ในสถานที่ ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ห้องมีลักษณะโปร่ง โล่ง มีหน้าต่าง
ข้อควรหลีกเลี่ยง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ
- ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
- ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในระหว่างรักษาวัณโรค เลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ระบบการหายใจ ชั้น 3 โซน C
วัณโรค (Tuberculosis) เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่งที่เกิดจากเชื้อ Mycobacterium tuberculosis นอกจากจะทำให้เกิดวัณโรคปอดแล้ว ยังส่งผลให้เกิดวัณโรคกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายได้ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูกสันหลัง ข้อ ลำไส้ เยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น วัณโรคสามารถรักษาได้ด้วยการกินยารักษาวัณโรค หากผู้ป่วยให้ความร่วมมือในการรักษาอย่างต่อเนื่อง
การติดต่อ
เชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจรับเชื้อโรคที่ปะปนอยู่ในละอองฝอย ขณะที่ผู้ป่วยไอ จาม บ้วนน้ำลาย ขากเสมหะ หรือการใช้เสียง เชื้อวัณโรคที่ตกลงสู่พื้นหรือติดอยู่กับผิวสัมผัสของวัตถุอื่นๆ จะถูกทำลายไปได้ง่ายโดยแสงสว่างและอากาศที่ถ่ายเทสะดวก ดังนั้น สมาชิกในครอบครัว ผู้ร่วมอาศัย รวมถึงเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ควรมาพบแพทย์เพื่อตรวจคัดกรองผู้สัมผัสโรค และรับการรักษาแต่เนิ่น ๆ
ปัจจัยเสี่ยงของการเกิดวัณโรค
- สภาพร่างกาย ความแข็งแรงของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุมีความเสี่ยงในการเป็นวัณโรคได้ง่าย
- ผู้เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคเอดส์ หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน
- ระยะเวลาและความใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค
อาการของผู้ป่วยวัณโรค
ในระยะแรกจะสังเกตได้ยากเพราะอาการเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัวว่าเป็นวัณโรค อาการที่พบได้แก่
- มีไข้เรื้อรังต่ำ ๆ มักจะเป็นตอนเย็นหรือบ่าย บางรายอาจมีเหงื่อออกตอนกลางคืน
- อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
- ไอเรื้อรังนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจมีเลือดออกร่วมได้
แนวทางการรักษา
แม้วัณโรคจะสามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่มีโอกาสกลับไปเป็นซ้ำได้เช่นกันหากผู้ป่วยรับประทานยาไม่ครบตามกำหนด ดังนั้น เป้าหมายสำคัญในการรักษา คือ การรักษาให้หายขาดเพื่อหยุดการแพร่กระจายเชื้อและป้องกันการดื้อยาของเชื้อวัณโรค
- ผู้ป่วยวัณโรคมีระยะเวลาในการรักษาทั้งหมด 6 เดือน โดย 2 เดือนแรกต้องรับประทานยา 4 ชนิด เช่น isoniazid, rifampicin, pyrazinamide, ethambutol
- เมื่อรักษาครบ 2 เดือนแพทย์จะตรวจเสมหะหรือเอกซเรย์ปอดซ้ำ หากมีการตอบสนองที่ดีแพทย์จะลดยาเหลือ 2 ชนิด และให้การรักษาต่อไปอีก 4 เดือน
การปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยวัณโรค
ข้อควรปฏิบัติ
- ต้องรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์กำหนด หลังได้รับการรักษาไปแล้ว 2 - 4 สัปดาห์อาการจะดีขึ้น ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น น้ำหนักเพิ่มขึ้น เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมักเข้าใจผิดว่ารักษาหายแล้วจึงไม่รับประทานยาต่อ แต่ในความเป็นจริงการรับประทานยาไม่ครบตามกำหนดไม่สามารถรักษาให้หายได้และทำให้เชื้อดื้อยา ส่งผลให้การรักษายากขึ้นหรือรักษาไม่ได้เลย
- แพทย์จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาวันละ 1 ครั้ง ส่วนใหญ่คือก่อนนอน ห้ามแบ่งรับประทานยาหลายเวลาตามมื้ออาหาร เพราะจะทำให้ระดับยาในการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร
- หลังรับประทานยาหากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือมีผื่นคัน ให้ติดตามผลข้างเคียงอย่างใกล้ชิด หากมีอาการเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ให้หยุดยาทั้งหมดแล้วรีบมาพบแพทย์
- ในช่วงแรกของการรักษาผู้ป่วยควรแยกห้องนอนและหลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับผู้อื่น หลังรับประทานยาแล้ว 2 สัปดาห์ สามารถใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ
- ขณะไอหรือจามต้องใช้ผ้าปิดปาก ปิดจมูก บ้วนเสมหะลงในภาชนะหรือถุงที่ปิดมิดชิด แล้วนำไปทิ้งในถังขยะเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อเสริมสร้างภูมิต้านทาน และออกกำลังกายได้ตามความเหมาะสม
- ควรอยู่ในสถานที่ ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก ห้องมีลักษณะโปร่ง โล่ง มีหน้าต่าง
ข้อควรหลีกเลี่ยง
- งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้ยาอื่น ๆ ที่ไม่จำเป็นเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคตับอักเสบจากยาและผลข้างเคียงอื่น ๆ
- ควรหลีกเลี่ยงการเดินทางในที่สาธารณะที่มีผู้คนแออัด เช่น โรงภาพยนตร์ ห้างสรรพสินค้า หรือการเดินทางด้วยยานพาหนะร่วมกับผู้อื่นเป็นเวลานานเกิน 8 ชั่วโมงขึ้นไป
- ควรหลีกเลี่ยงการตั้งครรภ์ในระหว่างรักษาวัณโรค เลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเอสโตรเจน เพราะจะทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล
สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ระบบการหายใจ ชั้น 3 โซน C