การใช้ยาวาร์ฟาริน สำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ

ยาวาร์ฟารินคืออะไร?

     วาร์ฟาริน เป็นยาในกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด ใช้ป้องกันการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการเกิดลิ่มเลือดที่อาจไปอุดตันของหลอดเลือดในอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญ

ทำไมต้องใช้ยาวาร์ฟาริน?

     แพทย์จะสั่งจ่ายยานี้ให้รับประทานเมื่อร่างกายมีภาวะที่มีการสร้างลิ่มเลือดที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งลิ่มอาจเคลื่อนที่ไปตามกระแสโลหิตสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งโรคหรือภาวะที่จำเป็นต้องได้รับยาวาร์ฟาริน มีดังนี้

     1. หลังผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม
     2. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
     3. โรคลิ้นหัวใจรูมาติก
     4. ประวัติเส้นเลือดสมองอุดตันจากลิ่มเลือด
     5. ภาวะลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดในปอด แขน หรือขา
     6. ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Protein C, S deficiency)

ยาวาร์ฟารินออกฤทธิ์อย่างไร?

     ยาวาร์ฟารินจะรบกวนการทำงานของวิตามินเค ซึ่งเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้าลง จากกระบวนการดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดที่อาจไปอุดตันในหลอดเลือดบริเวณต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด สมอง เป็นต้น

     ยาวาร์ฟารินที่ใช้ในโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์มีทั้งหมด 2 ยี่ห้อ ได้แก่ มาฟอแรน (Maforan®) และออฟาริน (Orfarin®) ซึ่งมี 3 ขนาด ดังนี้

 

วาร์ฟาริน, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, เลือดแข็งตัวช้า, ลิ่มเลือดอุดตัน, โรคหลอดเลือดในสมอง, วิตามินเค, ค่าไอเอ็นอาร์, ยาวาร์ฟาริน, ตั้งครรภ์, เลือดออกผิดปกติิ, มีจ้ำเลือด, รอยฟกช้ำ, เลือดไหลไม่หยุด, เลือดกำเดาไหล่ไม่หยุด, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, ประจำเดือนมากผิดปกติ, ปัสสาวะสีแดง, มีเลือดปนมากับอุจจาระ, อุจจาระมีสีดำ, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, เหนื่อยง่ายผิดปกติ, แขนขาบวม, อาหารที่มีวิตามินเคสูง, ผักใบเขียว วาร์ฟาริน, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, เลือดแข็งตัวช้า, ลิ่มเลือดอุดตัน, โรคหลอดเลือดในสมอง, วิตามินเค, ค่าไอเอ็นอาร์, ยาวาร์ฟาริน, ตั้งครรภ์, เลือดออกผิดปกติิ, มีจ้ำเลือด, รอยฟกช้ำ, เลือดไหลไม่หยุด, เลือดกำเดาไหล่ไม่หยุด, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, ประจำเดือนมากผิดปกติ, ปัสสาวะสีแดง, มีเลือดปนมากับอุจจาระ, อุจจาระมีสีดำ, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, เหนื่อยง่ายผิดปกติ, แขนขาบวม, อาหารที่มีวิตามินเคสูง, ผักใบเขียว

 

 

จะทราบได้อย่างไรว่ายาใช้ได้ผล?

     การติดตามผลการรักษาของยาวาร์ฟารินต้องติดตามจากการตรวจเลือด ซึ่งเรียกว่า "ค่าไอเอ็นอาร์" (INR: International Normalized Ratio) เป็นค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพการรักษาด้วยยาวาร์ฟาริน และค่าที่ได้จะช่วยให้แพทย์พิจารณาในการปรับขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เนื่องจากขนาดยาที่น้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ลิ้นหัวใจเทียมหรือเส้นเลือดต่างๆ โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมอง และนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือขนาดยาที่มากเกินไปจะทำให้เลือดออกผิดปกติเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยค่า INR ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับข้อบ่งใช้ยาของผู้ป่วยแต่ละราย 

     ความถี่ในการตรวจค่า INR ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ โดยปกติควรทำการตรวจอย่างน้อยทุกๆ 1 - 3 เดือน  

     ยาวาร์ฟารินมีผลต่อทารกในครรภ์โดยเฉพาะในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นหากกำลังตั้งครรภ์หรือต้องการมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

     วาร์ฟารินเป็นยาที่มีประโยชน์ และอาจก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายได้ หากมีการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ขาดการติดตามดูแลโดยแพทย์ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยอาการหรือสิ่งผิดปกติที่ต้องแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันทีที่เกิดขึ้น มีดังนี้

     - มีเลือดออกผิดปกติิ

     - มีจ้ำเลือดหรือรอยฟกช้ำตามผิวหนัง และขยายขนาดมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

     - เมื่อเกิดบาดแผลแล้วเลือดไหลไม่หยุด

     - เลือดกำเดาไหลไม่หยุด

     - เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ อาจพบในขณะแปรงฟัน

     - มีเลือดประจำเดือน หรือเลือดออกมาทางช่องคลอดปริมาณมากผิดปกติ

     - ปัสสาวะสีแดงหรือน้ำตาลแดง (สีสนิม)

     - มีเลือดปนมากับอุจจาระ หรืออุจจาระมีสีดำ

     ** หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดรับประทานยาและรีบมาพบแพทย์ทันที **

ควรรับประทานยาเวลาใด?

     ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยรับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกวัน ซึ่งจะทำให้เกิดความคุ้นเคยและช่วยให้ไม่ลืมรับประทาน สามารถรับประทานยาก่อน หรือหลังอาหารได้ เนื่องจากยาไม่มีผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร

ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยา?

  • กรณีที่ลืมรับประทานยา หากยังไม่เลยเวลาที่เคยรับประทานตามปกติ 12 ชม. ควรรีบรับประทานยาทันที
  • กรณีที่ลืมรับประทานยาแต่เลยเวลาที่เคยรับประทานตามปกติมากกว่า 12 ชม. ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานยามื้อต่อไปตามเวลาปกติในขนาดยาเท่าเดิม

     ตัวอย่างเช่น ปกติรับประทานยาเวลา 21.00 น. แต่ลืมรับประทานยาในเวลาดังกล่าว ดังนั้น หากยังไม่ถึงเวลา 9.00 น. ของวันถัดไป สามารถรับประทานยาได้ทันที แต่หากเลยเวลา 9.00 น. ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อถัดไป ห้ามเพิ่มขนาดยาในมื้อถัดไปเองโดยเด็ดขาด เนื่องจากการรับประทานยาในขนาดที่สูงเกินไป อาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติ และเป็นอันตรายได้

     หากไม่สามารถรับประทานยาได้ตามที่แพทย์สั่ง กรุณาแจ้งแพทย์ให้ทราบถึงสาเหตุเมื่อมาพบในครั้งหน้า เพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับการรับประทานยาต่อไป

การใช้ยาอื่นๆ ร่วมกับยาวาร์ฟาริน

     ยาหลายชนิดมีผลต่อระดับยาวาร์ฟารินในเลือดเมื่อใช้ร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ค่า INR เปลี่ยนแปลงได้ทั้งสูงขึ้นและลดลง เช่น

  • ยาที่เพิ่มฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน เช่น ยาฆ่าเชื้อบางชนิด เป็นต้น
  • ยาที่ลดฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน เช่น ยากันชักบางชนิด เป็นต้น

     ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มรับประทานยาใดๆ และควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรให้ทราบทุกครั้งที่มีการเริ่มใช้ยาชนิดใหม่ หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยา ไม่ว่าจะเป็นยาที่ซื้อเองจากร้านยา ยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน ยาหม้อ เป็นต้น

อาหาร / เครื่องดื่มประเภทใดที่อาจมีผลต่อยาวาร์ฟาริน?

     อาหารที่มักรบกวนการออกฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน คือ อาหารที่มีวิตามินเคสูง มักพบในอาหารประเภทผักใบเขียว วิตามินเคมีผลทำให้ยาวาร์ฟารินออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ **แต่ไม่จำเป็นต้องงดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทนี้** เนื่องจากในผักใบเขียวประกอบด้วยเกลือแร่ วิตามินชนิดต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย **สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ รับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันทุกวัน**

วาร์ฟาริน, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, เลือดแข็งตัวช้า, ลิ่มเลือดอุดตัน, โรคหลอดเลือดในสมอง, วิตามินเค, ค่าไอเอ็นอาร์, ยาวาร์ฟาริน, ตั้งครรภ์, เลือดออกผิดปกติิ, มีจ้ำเลือด, รอยฟกช้ำ, เลือดไหลไม่หยุด, เลือดกำเดาไหล่ไม่หยุด, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, ประจำเดือนมากผิดปกติ, ปัสสาวะสีแดง, มีเลือดปนมากับอุจจาระ, อุจจาระมีสีดำ, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, เหนื่อยง่ายผิดปกติ, แขนขาบวม, อาหารที่มีวิตามินเคสูง, ผักใบเขียว

     ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ระดับยาวาร์ฟารินในเลือดเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นต้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ข้อมูลยา ฝ่ายวิชาการเภสัชสนเทศ
โทร. 1474 กด 2 ตามด้วยกด 2 หรือ 02-419-2222

ยาวาร์ฟารินคืออะไร?

     วาร์ฟาริน เป็นยาในกลุ่มยาต้านการแข็งตัวของเลือด ใช้ป้องกันการแข็งตัวของเลือด รวมถึงการเกิดลิ่มเลือดที่อาจไปอุดตันของหลอดเลือดในอวัยวะต่างๆ ที่สำคัญ

ทำไมต้องใช้ยาวาร์ฟาริน?

     แพทย์จะสั่งจ่ายยานี้ให้รับประทานเมื่อร่างกายมีภาวะที่มีการสร้างลิ่มเลือดที่ไม่พึงประสงค์ ซึ่งลิ่มอาจเคลื่อนที่ไปตามกระแสโลหิตสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ซึ่งโรคหรือภาวะที่จำเป็นต้องได้รับยาวาร์ฟาริน มีดังนี้

     1. หลังผ่าตัดใส่ลิ้นหัวใจเทียม
     2. ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
     3. โรคลิ้นหัวใจรูมาติก
     4. ประวัติเส้นเลือดสมองอุดตันจากลิ่มเลือด
     5. ภาวะลิ่มเลือดอุดตันเส้นเลือดในปอด แขน หรือขา
     6. ภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ (Protein C, S deficiency)

ยาวาร์ฟารินออกฤทธิ์อย่างไร?

     ยาวาร์ฟารินจะรบกวนการทำงานของวิตามินเค ซึ่งเป็นวิตามินที่มีส่วนช่วยในกระบวนการแข็งตัวของเลือด ส่งผลให้เลือดแข็งตัวช้าลง จากกระบวนการดังกล่าวจึงเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือดที่อาจไปอุดตันในหลอดเลือดบริเวณต่างๆ ของร่างกายโดยเฉพาะอวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด สมอง เป็นต้น

     ยาวาร์ฟารินที่ใช้ในโรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์มีทั้งหมด 2 ยี่ห้อ ได้แก่ มาฟอแรน (Maforan®) และออฟาริน (Orfarin®) ซึ่งมี 3 ขนาด ดังนี้

 

วาร์ฟาริน, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, เลือดแข็งตัวช้า, ลิ่มเลือดอุดตัน, โรคหลอดเลือดในสมอง, วิตามินเค, ค่าไอเอ็นอาร์, ยาวาร์ฟาริน, ตั้งครรภ์, เลือดออกผิดปกติิ, มีจ้ำเลือด, รอยฟกช้ำ, เลือดไหลไม่หยุด, เลือดกำเดาไหล่ไม่หยุด, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, ประจำเดือนมากผิดปกติ, ปัสสาวะสีแดง, มีเลือดปนมากับอุจจาระ, อุจจาระมีสีดำ, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, เหนื่อยง่ายผิดปกติ, แขนขาบวม, อาหารที่มีวิตามินเคสูง, ผักใบเขียว วาร์ฟาริน, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, เลือดแข็งตัวช้า, ลิ่มเลือดอุดตัน, โรคหลอดเลือดในสมอง, วิตามินเค, ค่าไอเอ็นอาร์, ยาวาร์ฟาริน, ตั้งครรภ์, เลือดออกผิดปกติิ, มีจ้ำเลือด, รอยฟกช้ำ, เลือดไหลไม่หยุด, เลือดกำเดาไหล่ไม่หยุด, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, ประจำเดือนมากผิดปกติ, ปัสสาวะสีแดง, มีเลือดปนมากับอุจจาระ, อุจจาระมีสีดำ, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, เหนื่อยง่ายผิดปกติ, แขนขาบวม, อาหารที่มีวิตามินเคสูง, ผักใบเขียว

 

 

จะทราบได้อย่างไรว่ายาใช้ได้ผล?

     การติดตามผลการรักษาของยาวาร์ฟารินต้องติดตามจากการตรวจเลือด ซึ่งเรียกว่า "ค่าไอเอ็นอาร์" (INR: International Normalized Ratio) เป็นค่าที่บอกถึงประสิทธิภาพการรักษาด้วยยาวาร์ฟาริน และค่าที่ได้จะช่วยให้แพทย์พิจารณาในการปรับขนาดยาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล เนื่องจากขนาดยาที่น้อยเกินไปอาจเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดลิ่มเลือดอุดตันที่ลิ้นหัวใจเทียมหรือเส้นเลือดต่างๆ โดยเฉพาะเส้นเลือดในสมอง และนำไปสู่ภาวะอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือขนาดยาที่มากเกินไปจะทำให้เลือดออกผิดปกติเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ โดยค่า INR ที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับข้อบ่งใช้ยาของผู้ป่วยแต่ละราย 

     ความถี่ในการตรวจค่า INR ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของแพทย์ โดยปกติควรทำการตรวจอย่างน้อยทุกๆ 1 - 3 เดือน  

     ยาวาร์ฟารินมีผลต่อทารกในครรภ์โดยเฉพาะในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ดังนั้นหากกำลังตั้งครรภ์หรือต้องการมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา

     วาร์ฟารินเป็นยาที่มีประโยชน์ และอาจก่อให้เกิดโทษแก่ร่างกายได้ หากมีการใช้ยาที่ไม่เหมาะสม ขาดการติดตามดูแลโดยแพทย์ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยอาการหรือสิ่งผิดปกติที่ต้องแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันทีที่เกิดขึ้น มีดังนี้

     - มีเลือดออกผิดปกติิ

     - มีจ้ำเลือดหรือรอยฟกช้ำตามผิวหนัง และขยายขนาดมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

     - เมื่อเกิดบาดแผลแล้วเลือดไหลไม่หยุด

     - เลือดกำเดาไหลไม่หยุด

     - เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ อาจพบในขณะแปรงฟัน

     - มีเลือดประจำเดือน หรือเลือดออกมาทางช่องคลอดปริมาณมากผิดปกติ

     - ปัสสาวะสีแดงหรือน้ำตาลแดง (สีสนิม)

     - มีเลือดปนมากับอุจจาระ หรืออุจจาระมีสีดำ

     ** หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดรับประทานยาและรีบมาพบแพทย์ทันที **

ควรรับประทานยาเวลาใด?

     ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยรับประทานยาในเวลาเดียวกันของทุกวัน ซึ่งจะทำให้เกิดความคุ้นเคยและช่วยให้ไม่ลืมรับประทาน สามารถรับประทานยาก่อน หรือหลังอาหารได้ เนื่องจากยาไม่มีผลระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร

ทำอย่างไรหากลืมรับประทานยา?

  • กรณีที่ลืมรับประทานยา หากยังไม่เลยเวลาที่เคยรับประทานตามปกติ 12 ชม. ควรรีบรับประทานยาทันที
  • กรณีที่ลืมรับประทานยาแต่เลยเวลาที่เคยรับประทานตามปกติมากกว่า 12 ชม. ให้ข้ามมื้อที่ลืมไป และรับประทานยามื้อต่อไปตามเวลาปกติในขนาดยาเท่าเดิม

     ตัวอย่างเช่น ปกติรับประทานยาเวลา 21.00 น. แต่ลืมรับประทานยาในเวลาดังกล่าว ดังนั้น หากยังไม่ถึงเวลา 9.00 น. ของวันถัดไป สามารถรับประทานยาได้ทันที แต่หากเลยเวลา 9.00 น. ให้ข้ามไปรับประทานยามื้อถัดไป ห้ามเพิ่มขนาดยาในมื้อถัดไปเองโดยเด็ดขาด เนื่องจากการรับประทานยาในขนาดที่สูงเกินไป อาจทำให้มีเลือดออกผิดปกติ และเป็นอันตรายได้

     หากไม่สามารถรับประทานยาได้ตามที่แพทย์สั่ง กรุณาแจ้งแพทย์ให้ทราบถึงสาเหตุเมื่อมาพบในครั้งหน้า เพื่อให้แพทย์พิจารณาปรับขนาดยาให้เหมาะสมกับการรับประทานยาต่อไป

การใช้ยาอื่นๆ ร่วมกับยาวาร์ฟาริน

     ยาหลายชนิดมีผลต่อระดับยาวาร์ฟารินในเลือดเมื่อใช้ร่วมกัน ซึ่งจะทำให้ค่า INR เปลี่ยนแปลงได้ทั้งสูงขึ้นและลดลง เช่น

  • ยาที่เพิ่มฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน เช่น ยาฆ่าเชื้อบางชนิด เป็นต้น
  • ยาที่ลดฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน เช่น ยากันชักบางชนิด เป็นต้น

     ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้งก่อนที่จะเริ่มรับประทานยาใดๆ และควรแจ้งแพทย์ หรือเภสัชกรให้ทราบทุกครั้งที่มีการเริ่มใช้ยาชนิดใหม่ หยุดใช้ยา หรือเปลี่ยนแปลงขนาดยา ไม่ว่าจะเป็นยาที่ซื้อเองจากร้านยา ยาที่แพทย์สั่งจ่ายให้ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ยาสมุนไพร ยาลูกกลอน ยาหม้อ เป็นต้น

อาหาร / เครื่องดื่มประเภทใดที่อาจมีผลต่อยาวาร์ฟาริน?

     อาหารที่มักรบกวนการออกฤทธิ์ของยาวาร์ฟาริน คือ อาหารที่มีวิตามินเคสูง มักพบในอาหารประเภทผักใบเขียว วิตามินเคมีผลทำให้ยาวาร์ฟารินออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ **แต่ไม่จำเป็นต้องงดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารประเภทนี้** เนื่องจากในผักใบเขียวประกอบด้วยเกลือแร่ วิตามินชนิดต่างๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย **สิ่งที่ควรปฏิบัติ คือ รับประทานอาหารเหล่านี้ในปริมาณที่เท่ากันหรือใกล้เคียงกันทุกวัน**

วาร์ฟาริน, ยาต้านการแข็งตัวของเลือด, เลือดแข็งตัวช้า, ลิ่มเลือดอุดตัน, โรคหลอดเลือดในสมอง, วิตามินเค, ค่าไอเอ็นอาร์, ยาวาร์ฟาริน, ตั้งครรภ์, เลือดออกผิดปกติิ, มีจ้ำเลือด, รอยฟกช้ำ, เลือดไหลไม่หยุด, เลือดกำเดาไหล่ไม่หยุด, เลือดออกตามไรฟันมากผิดปกติ, ประจำเดือนมากผิดปกติ, ปัสสาวะสีแดง, มีเลือดปนมากับอุจจาระ, อุจจาระมีสีดำ, ปวดศีรษะเฉียบพลัน, เหนื่อยง่ายผิดปกติ, แขนขาบวม, อาหารที่มีวิตามินเคสูง, ผักใบเขียว

     ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่อาจทำให้ระดับยาวาร์ฟารินในเลือดเปลี่ยนแปลงได้ เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เป็นต้น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ข้อมูลยา ฝ่ายวิชาการเภสัชสนเทศ
โทร. 1474 กด 2 ตามด้วยกด 2 หรือ 02-419-2222


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง