ความดันตาสูง เสี่ยงโรคต้อหิน

ต้อหินคืออะไร?

     ต้อหิน คือ ภาวะที่ทำให้มีการเสื่อมของขั้วตาซึ่งอยู่ภายในลูกตา การเสื่อมนี้จะส่งผลต่อการมองเห็นบริเวณรอบนอกก่อนทำให้สังเกตได้ยาก หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง จนมีผลต่อการมองเห็นตรงกลางทำให้สูญเสียการมองเห็นได้  ดังนั้น การตรวจคัดกรองต้อหินจึงมีความสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน

     ความดันตา หมายถึง ความดันของของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ภายในลูกตา โดยทั่วไปค่าความดันตาโดยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 13.3 มิลลิเมตรปรอท และโดยทั่วไปไม่เกิน 22 มิลลิเมตรปรอท หากพบความดันตาสูงกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ถือว่าเป็นภาวะความดันตาสูง และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดต้อหิน อย่างไรก็ดีมีผู้ป่วยต้อหินอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความดันตาปกติ

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน

  1. ความดันตาสูง
  2.  มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
  3.  อายุ 40 ปีขึ้นไป
  4. มีสายตาสั้น
  5. มีประวัติการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดต่างๆ เป็นเวลานาน
  6. เป็นโรคเบาหวาน
  7. เคยได้รับอุบัติเหตุ หรือเคยผ่าตัดดวงตามาก่อน
  8. ขั้วตาใหญ่

การตรวจคัดกรองต้อหิน ประกอบด้วย

   1. การตรวจการมองเห็น และวัดความดันตา

   2. การตรวจตาด้วยเครื่อง Slit lamp microscope

   3. การตรวจขั้วตา

   4. การตรวจพิเศษต่างๆเพื่อช่วยวินิจฉัยต้อหิน ขึ้นกับแพทย์เป็นผู้พิจารณา

การรักษาต้อหิน

     โดยทั่วไป การรักษาต้อหินเป็นการลดความดันตาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ยา เลเซอร์ และการผ่าตัด ซึ่งต้อหินแบบมุมปิด อาจมีการใช้เลเซอร์เข้ามาช่วยในการรักษา เพื่อทำให้มุมตากว้างขึ้น หรือลดโอกาสการเกิดต้อหินฉับพลันด้วย

   1.การใช้ยา โดยทั่วไปใช้เป็นยาหยอด เพื่อลดความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ลดโอกาสที่ขั้วตาจะมีการเสื่อมมากขึ้น ยารับประทานจะใช้ในบางกรณีโดยแพทย์เป็นผู้พิจารณา

   2. เลเซอร์ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยการยิงเลเซอร์ ซึ่งขึ้นกับชนิดของต้อหิน โดยจักษุแพทย์เป็นผู้พิจารณา

   3. การผ่าตัด ในผู้ป่วยบางรายที่ต้อหินที่มีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด

บทความโดย: ผศ. พญ. สกาวรัตน์ เพ็ชร์ยิ้ม

สอบถามข้ออมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ตา ชั้น 4 โซน A

ต้อหินคืออะไร?

     ต้อหิน คือ ภาวะที่ทำให้มีการเสื่อมของขั้วตาซึ่งอยู่ภายในลูกตา การเสื่อมนี้จะส่งผลต่อการมองเห็นบริเวณรอบนอกก่อนทำให้สังเกตได้ยาก หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาลานสายตาจะค่อย ๆ แคบลง จนมีผลต่อการมองเห็นตรงกลางทำให้สูญเสียการมองเห็นได้  ดังนั้น การตรวจคัดกรองต้อหินจึงมีความสำคัญโดยเฉพาะผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน

     ความดันตา หมายถึง ความดันของของเหลวที่ไหลเวียนอยู่ภายในลูกตา โดยทั่วไปค่าความดันตาโดยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 13.3 มิลลิเมตรปรอท และโดยทั่วไปไม่เกิน 22 มิลลิเมตรปรอท หากพบความดันตาสูงกว่า 21 มิลลิเมตรปรอทขึ้นไป ถือว่าเป็นภาวะความดันตาสูง และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของการเกิดต้อหิน อย่างไรก็ดีมีผู้ป่วยต้อหินอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความดันตาปกติ

ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดต้อหิน

  1. ความดันตาสูง
  2.  มีประวัติคนในครอบครัวเป็นต้อหิน
  3.  อายุ 40 ปีขึ้นไป
  4. มีสายตาสั้น
  5. มีประวัติการใช้ยากลุ่มสเตียรอยด์ชนิดต่างๆ เป็นเวลานาน
  6. เป็นโรคเบาหวาน
  7. เคยได้รับอุบัติเหตุ หรือเคยผ่าตัดดวงตามาก่อน
  8. ขั้วตาใหญ่

การตรวจคัดกรองต้อหิน ประกอบด้วย

   1. การตรวจการมองเห็น และวัดความดันตา

   2. การตรวจตาด้วยเครื่อง Slit lamp microscope

   3. การตรวจขั้วตา

   4. การตรวจพิเศษต่างๆเพื่อช่วยวินิจฉัยต้อหิน ขึ้นกับแพทย์เป็นผู้พิจารณา

การรักษาต้อหิน

     โดยทั่วไป การรักษาต้อหินเป็นการลดความดันตาด้วยวิธีต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ยา เลเซอร์ และการผ่าตัด ซึ่งต้อหินแบบมุมปิด อาจมีการใช้เลเซอร์เข้ามาช่วยในการรักษา เพื่อทำให้มุมตากว้างขึ้น หรือลดโอกาสการเกิดต้อหินฉับพลันด้วย

   1.การใช้ยา โดยทั่วไปใช้เป็นยาหยอด เพื่อลดความดันตาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ลดโอกาสที่ขั้วตาจะมีการเสื่อมมากขึ้น ยารับประทานจะใช้ในบางกรณีโดยแพทย์เป็นผู้พิจารณา

   2. เลเซอร์ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยการยิงเลเซอร์ ซึ่งขึ้นกับชนิดของต้อหิน โดยจักษุแพทย์เป็นผู้พิจารณา

   3. การผ่าตัด ในผู้ป่วยบางรายที่ต้อหินที่มีข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด

บทความโดย: ผศ. พญ. สกาวรัตน์ เพ็ชร์ยิ้ม

สอบถามข้ออมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ตา ชั้น 4 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง