วิธีการใช้ครีมกันแดด ป้องกันปัญหาฝ้า กระ จุดด่างดำ
หน้าร้อนนี้ เราทุกคนควรเตรียมพร้อมรับมือกับแสงแดดจ้าที่อาจจะเข้ามาทำลายผิวของคุณได้โดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าคุณจะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่หากคุณทาครีมกันแดดไม่ถูกวิธี ก็แสดงว่าการทาครีมกันแดดนั้นสูญเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญ คือ ควรใช้ครีมกันแดดทาบริเวณใบหน้า ลำคอ และผิวบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมให้ถูกวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาฝ้า กระแดด จุดด่างดำ หรือมะเร็งผิวหนัง ในภายหลังได้
ครีมกันแดดมีกี่ประเภท?
1. Chemical Sunscreen
ปกป้องผิวโดยการดูดซึมรังสียูวีและมีปฎิกิริยาบนผิว มีโอกาสเกิดการแพ้ได้
2. Physical Sunscreen
ปกป้องผิวโดยการเคลือบชั้นผิว เมื่อรังสียูวีส่องลงบนผิว รังสียูวีจะสะท้อนกลับออกไป ไม่เกิดปฏิกิริยาที่ผิวโดยตรง ทำให้เกิดโอกาสแพ้ได้น้อยกว่า
วิธีอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์กันแดด
UV แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
- UVA ทำให้ผิวเกิดผิวแห้งกร้านและริ้วรอยก่อนวัยอันควร
- UVB เป็นสาเหตุให้ผิวไหม้แดด
- UVC ไม่สามารถส่องผ่านมาถึงโลกได้
ดังนั้น ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันได้ทั้ง UVA และ UVB โดยดูได้จาก
1. SPF (Sun Protective Factor)
SPF บอกถึงการป้องกัน UVB โดยถ้าเลือกใช้ SPF สูงมากเท่าไรก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกัน UVB มากขึ้น ดังตารางด้านล่าง
2. การป้องกัน UVA ดูได้จาก 2 สัญลักษณ์ บนผลิตภัณฑ์กันแดด
2.1 PA (Protective Grade of UVA)
PA+ หมายถึง ปกป้อง UVA ได้ 2 - 4 เท่า
PA++ หมายถึง ปกป้อง UVA ด้ 4 - 8 เท่า
PA+++ หมายถึง ปกป้อง UVA ได้ 8 - 16 เท่า
PA++++ หมายถึง ปกป้อง UVA ได้มากกว่า 16 เท่า
2.2 มีสัญลักษณ์ UVA
3. Water proof/ Water resistance
ในกรณีเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ ควรมีระบุดังนี้
• Water resistance (40 minutes) หมายถึง กันน้ำได้นาน 40 นาที
• Very water resistance (80 minutes) หมายถึง กันน้ำได้นาน 80 นาที
วิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม
- เลือกใช้ครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB โดยครีมกันแดดที่ดีควรมีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป
- ควรเลือกครีมกันแดดที่มีสัญลักษณ์ PA +++ หรือ PA ++++ หรือสัญลักษณ์
- ในกรณีที่จำเป็นต้องออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือมีเหงื่ออกมาก เช่น ว่ายน้ำตีกอล์ฟ หรือ เทนนิส ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ
หลักในการทาครีมกันแดด
1. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที
2. ปริมาณครีมกันแดดสำหรับทาหน้าที่เหมาะสม คือ บีบครีมให้ยาวประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ แต่หากเป็นกันแดดชนิดกันน้ำหรือโลชั่นควรบีบประมาณ 1-2 เหรียญสิบ
3. แต้มครีมกันแดด 5 จุดลงบนใบหน้า (หน้าผาก, แก้มทั้ง 2 ข้าง, จมูก และคาง) และเกลี่ยครีมให้ทั่วหน้า
4. ทาครีมกันแดดซ้ำ ในกรณีที่มีเหงื่ออกมากและหลังขึ้นจากน้ำทุกครั้ง
5. ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากออกแดดจัด
6. หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วง 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น เพราะแสงอุลตร้าไวโอเลต ในช่วงนั้นแรง
ถึงแม้ว่าคุณจะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันอย่างถูกวิธี แต่ความร้อนจากแสงแดดก็อาจทำให้ครีมกันแดดละลายได้ ดังนั้น เวลาออกแดดแรงๆ เป็นเวลานานจึงไม่ควรละเลยส่วนที่คิดว่าไม่จำเป็น เช่น คอ หลัง และหู เพราะการทาครีมกันแดดให้ทั่วถึงมีความสำคัญ นอกจากนี้ ควรใช้อุปกรณ์กันแดดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ร่ม แว่นตากันแดด หมวกปีกกว้าง หรือใส่เสื้อแขนยาว เพื่อช่วยป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตเพิ่มเป็นสองชั้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A
หน้าร้อนนี้ เราทุกคนควรเตรียมพร้อมรับมือกับแสงแดดจ้าที่อาจจะเข้ามาทำลายผิวของคุณได้โดยไม่รู้ตัว ถึงแม้ว่าคุณจะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันอยู่แล้ว แต่หากคุณทาครีมกันแดดไม่ถูกวิธี ก็แสดงว่าการทาครีมกันแดดนั้นสูญเปล่า เพราะฉะนั้นสิ่งสำคัญ คือ ควรใช้ครีมกันแดดทาบริเวณใบหน้า ลำคอ และผิวบริเวณที่ไม่มีเสื้อผ้าปกคลุมให้ถูกวิธี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากแสงแดดซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาฝ้า กระแดด จุดด่างดำ หรือมะเร็งผิวหนัง ในภายหลังได้
ครีมกันแดดมีกี่ประเภท?
1. Chemical Sunscreen
ปกป้องผิวโดยการดูดซึมรังสียูวีและมีปฎิกิริยาบนผิว มีโอกาสเกิดการแพ้ได้
2. Physical Sunscreen
ปกป้องผิวโดยการเคลือบชั้นผิว เมื่อรังสียูวีส่องลงบนผิว รังสียูวีจะสะท้อนกลับออกไป ไม่เกิดปฏิกิริยาที่ผิวโดยตรง ทำให้เกิดโอกาสแพ้ได้น้อยกว่า
วิธีอ่านฉลากบนผลิตภัณฑ์กันแดด
UV แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ
- UVA ทำให้ผิวเกิดผิวแห้งกร้านและริ้วรอยก่อนวัยอันควร
- UVB เป็นสาเหตุให้ผิวไหม้แดด
- UVC ไม่สามารถส่องผ่านมาถึงโลกได้
ดังนั้น ควรเลือกครีมกันแดดที่สามารถกันได้ทั้ง UVA และ UVB โดยดูได้จาก
1. SPF (Sun Protective Factor)
SPF บอกถึงการป้องกัน UVB โดยถ้าเลือกใช้ SPF สูงมากเท่าไรก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกัน UVB มากขึ้น ดังตารางด้านล่าง
2. การป้องกัน UVA ดูได้จาก 2 สัญลักษณ์ บนผลิตภัณฑ์กันแดด
2.1 PA (Protective Grade of UVA)
PA+ หมายถึง ปกป้อง UVA ได้ 2 - 4 เท่า
PA++ หมายถึง ปกป้อง UVA ด้ 4 - 8 เท่า
PA+++ หมายถึง ปกป้อง UVA ได้ 8 - 16 เท่า
PA++++ หมายถึง ปกป้อง UVA ได้มากกว่า 16 เท่า
2.2 มีสัญลักษณ์ UVA
3. Water proof/ Water resistance
ในกรณีเลือกครีมกันแดดชนิดกันน้ำ ควรมีระบุดังนี้
- Water resistance (40 minutes) หมายถึง กันน้ำได้นาน 40 นาที
- Very water resistance (80 minutes) หมายถึง กันน้ำได้นาน 80 นาที
วิธีเลือกครีมกันแดดที่เหมาะสม
- เลือกใช้ครีมกันแดดที่ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB โดยครีมกันแดดที่ดีควรมีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไป
- ควรเลือกครีมกันแดดที่มีสัญลักษณ์ PA +++ หรือ PA ++++ หรือสัญลักษณ์
- ในกรณีที่จำเป็นต้องออกกิจกรรมกลางแจ้งหรือมีเหงื่ออกมาก เช่น ว่ายน้ำตีกอล์ฟ หรือ เทนนิส ควรเลือกใช้ครีมกันแดดชนิดกันน้ำ
หลักในการทาครีมกันแดด
1. ทาครีมกันแดดก่อนออกแดดประมาณ 15-30 นาที
2. ปริมาณครีมกันแดดสำหรับทาหน้าที่เหมาะสม คือ บีบครีมให้ยาวประมาณ 2 ข้อนิ้วมือ แต่หากเป็นกันแดดชนิดกันน้ำหรือโลชั่นควรบีบประมาณ 1-2 เหรียญสิบ
3. แต้มครีมกันแดด 5 จุดลงบนใบหน้า (หน้าผาก, แก้มทั้ง 2 ข้าง, จมูก และคาง) และเกลี่ยครีมให้ทั่วหน้า
4. ทาครีมกันแดดซ้ำ ในกรณีที่มีเหงื่ออกมากและหลังขึ้นจากน้ำทุกครั้ง
5. ควรทาซ้ำทุก 2 ชั่วโมง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากออกแดดจัด
6. หลีกเลี่ยงการออกแดดในช่วง 10 โมงเช้า ถึง 4 โมงเย็น เพราะแสงอุลตร้าไวโอเลต ในช่วงนั้นแรง
ถึงแม้ว่าคุณจะทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวันอย่างถูกวิธี แต่ความร้อนจากแสงแดดก็อาจทำให้ครีมกันแดดละลายได้ ดังนั้น เวลาออกแดดแรงๆ เป็นเวลานานจึงไม่ควรละเลยส่วนที่คิดว่าไม่จำเป็น เช่น คอ หลัง และหู เพราะการทาครีมกันแดดให้ทั่วถึงมีความสำคัญ นอกจากนี้ ควรใช้อุปกรณ์กันแดดอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ร่ม แว่นตากันแดด หมวกปีกกว้าง หรือใส่เสื้อแขนยาว เพื่อช่วยป้องกันแสงอุลตร้าไวโอเลตเพิ่มเป็นสองชั้น
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A