เตรียมตัวให้พร้อม ก่อนผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม

ข้อสะโพกประกอบด้วย

  • ส่วนหัวกระดูกสะโพก (Femur head)
  • ส่วนเบ้าสะโพก (Acetabulum)

ข้อสะโพกมีลักษณะอย่างไร  

มีลักษณะคล้ายลูกบอลซุกอยู่ในเบ้า ส่วนของลูกบอล คือ หัวกระดูกสะโพก (Femoral Head) จะมีลักษณะกลมมน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว ส่วนหัวของกระดูกสะโพกจะต่อกับแกนกระดูกที่เรียกว่า “คอกระดูก” โดยที่บริเวณโคนคอกระดูกมีส่วนของกระดูกที่หนาขึ้นที่เรียกว่า "Greater Trochanter" ซึ่งสามารถคลำได้จากด้านนอก เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกบริเวณสะโพกจะบางลง โดยเฉพาะคอกระดูก จึงมักพบกระดูกหักบริเวณนี้ได้บ่อยเมื่อผู้สูงอายุล้ม ส่วนของเบ้าสะโพก (Acetabulum) จะมีเอ็นมายึดเกาะมาก เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงทำให้เส้นเอ็นที่ยึดอยู่ฉีกขาด อาจทำให้ข้อสะโพกหลุดได้ จากการที่เกิดกระดูกสะโพกหักหรือข้อสะโพกหลุดนั้น ส่งผลให้เส้นเลือดที่เลี้ยงหัวกระดูกต้นขาฉีกขาด ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงส่งผลให้หัวกระดูกสะโพกตาย และอาจให้เกิดข้อเสื่อมตามมาได้

ข้อสะโพกเสื่อมมีลักษณะอย่างไร

ข้อสะโพกเป็นข้อต่อระหว่างกระดูกเชิงกรานและกระดูกต้นขา ทำหน้าที่งอเหยียดในเวลานั่ง เดิน ยืน หรือนอน และรับน้ำหนักในทุกอิริยาบถของร่างกาย เมื่อข้อสะโพกผ่านการใช้งานเป็นเวลานาน หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุอื่นๆ มักทำให้เกิดการสึกหรอของผิวข้อ หรือเกิดจากการทรุดตัวของหัวกระดูกต้นขาตามมา ปัญหาข้อสะโพกที่พบในคนไทยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงในส่วนของกระดูกต้นขา ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากการได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ผสมเป็นจำนวนมาก ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบว่าเป็นสาเหตุของข้อสะโพกเสื่อมได้ เช่น ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุบริเวณข้อสะโพก หรือข้อเสื่อมจากการใช้งานหนัก

อาการของโรคข้อสะโพกเสื่อม

ผู้ที่เป็นข้อสะโพกเสื่อมจะขยับสะโพกได้ลดลงจากที่เคยนั่งพับเพียบได้ก็นั่งไม่ได้ ปวดที่ขาหนีบบริเวณงอสะโพกหรือกางสะโพกมากๆ เวลาเดินลงน้ำหนักจะปวดบริเวณสะโพกขาหนีบ และบางครั้งอาจปวดร้าวลงไปถึงหน้าหัวเข่าได้

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม

การตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด

ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกายและพบแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนรับการผ่าตัด ซึ่งสิ่งที่ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจ ได้แก่ การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจเอกซเรย์ปอด การตรวจคลื่นไฟฟ้า และการตรวจด้านอื่นๆตามความจำเป็น

กิจกรรมที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติก่อนการผ่าตัด

1. งดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ และภาวะแทรกซ้อนจากระบบไหลเวียนโลหิต

2. รักษาสุขภาพอนามัยของร่างกาย ปาก ฟัน อวัยวะสืบพันธุ์ เช่น หากมีฟันผุ เล็บขบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรักษาให้เรียบร้อยก่อนการผ่าตัด

3. งดโกนขนบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง เป็นระยะเวลา 5 วันก่อนการผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด

4. ควบคุมอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวมากเกินไป

5. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

ยาที่ผู้ป่วยควรรับประทานก่อนการผ่าตัด

1. หากผู้ป่วยมียารักษาโรคหัวใจ และยาลดความดันโลหิต สามารถรับประทานได้ตามปกติ และควรรับประทานอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่มาผ่าตัดที่โรงพยาบาล

2. หากผู้ป่วยมียาลดระดับน้ำตาลในเลือดแบบรับประทาน หรือแบบฉีด ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง และควรหยุดรับประทาน หรือหยุดฉีดยาในเช้าวันที่งดน้ำ งดอาหารก่อนมาผ่าตัดที่โรงพยาบาล

ยาที่ผู้ป่วยควรงดรับประทานอาหารก่อนการผ่าตัด

1. หากผู้ป่วยรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกร็ดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อพิจารณาหยุดยา 1 สัปดาห์ก่อนรับการผ่าตัด

2. งดรับประทานยาต้ม ยาหม้อ ยาลูกกลอน น้ำมันปลา โอเมก้า-3 โสม แปะก๊วย กระเทียมอัดเม็ด หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรต่างๆ

3. หากผู้ป่วยรับประทานยาต้านอักเสบของข้อ เช่น ยารักษาโรครูมาตอยด์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาหยุดยา 2 สัปดาห์ก่อนรับการผ่าตัด

หากผู้ป่วยรับประทานยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น lbuprofen , Naproxen , Diclofenac ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาหยุดยาก่อนรับการผ่าตัด

การปฏิบัติตัวเมื่อมาถึงโรงพยาบาล

1. ผู้ป่วยจะต้องมาพบเจ้าหน้าที่ที่คลินิกผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และตรวจวัดสัญญาณชีพ

2. เจ้าหน้าที่จะซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการของโรค ประวัติการรักษาในอดีต โรคประจำตัว หรือความผิดปกติอื่นๆของร่างกาย และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับยาประจำตัวที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ

3. หากผู้ป่วยมีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยา กรุณาแจ้งชื่ออาหารหรือยา และอาการที่แพ้ให้แพทย์หรือพยาบาลทราบ

4. เจ้าหน้าที่จะเข็นผู้ป่วยมาที่ห้องเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด

5. ผู้ป่วยต้องถอดเครื่องประดับทุกชนิด รวมทั้งเลนส์ตา และฟันปลอม หากมีฟันครอบ ฟันโยก ให้แจ้งพยาบาลทราบ

6. ผู้ป่วยจะได้พบแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อประเมินอาการอีกครั้ง โดยแพทย์จะใช้ปากการทำเครื่องหมายบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เพื่อเป็นการระบุตำแหน่งได้อย่างถูกต้อง

7. ผู้ป่วยจะได้พบวิสัญญีแพทย์ เพื่อประเมินการเลือกใช้วิธีระงับความรู้สึก่อนทำการผ่าตัด

อาการปวดแผลหลังผ่าตัดควรทำอย่างไร

1. การประเมินอาการปวดแผลหลังผ่าตัด สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยปวดแผลมากน้อยเพียงใด โดยให้ระบุเป็นคะแนน 0 - 10 ซึ่งมีเกณฑ์การประเมินดังนี้

  • 1 - 2 คะแนน : ยอมรับได้ ไม่ต้องการรักษาพยาบาล
  • 3 - 4 คะแนน : มีอาการปวดเล็กน้อย สามารถทนได้
  • 5 - 6 คะแนน : มีอาการปวดปานกลาง บางครั้งอาจต้องการบรรเทาปวด
  • 6 คะแนนขึ้นไป : มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา โดยใช้ยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้ปวดถึงระดับ 10 หรือปวดจนไม่สามารถทนไหว

2. หากรู้สึกเริ่มมีอาการปวดแผลให้ขอยาบรรเทาปวดแบบเนิ่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาในปริมาณน้อย เช่น เมื่อเริ่มปวดมากกว่า 3 คะแนน สามารถแจ้งกับพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลว่าจะติดยา
3. อย่าปล่อยให้ปวดมาก เพราะจะทำให้ต้องใช้ยาในปริมาณมาก อาการปวดแผลจะทำให้หายใจได้ไม่เต็มที่ ขยับตัวได้ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้ฟื้นตัวช้า เกิดผลเสียต่อระบบไหลเวียนเลือด และท้องอืด
4. หากอาการปวดไม่ทุเลาลง ภายหลังได้รับยาต้องแจ้งให้พยาบาลทราบ ซึ่งโดยปกติยาแก้ปวดชนิดรับประทานจะออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที - 1 ชั่วโมง และชนิดยาฉีดจะออกฤทธิ์ภายใน 5 - 15 นาที
5. หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือคันภายหลังผ่าตัด (ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของยาแก้ปวดบางชนิด) กรุณาแจ้งพยาบาล เพื่อรับยาแก้อาการดังกล่าว

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดในเดือนแรก
1. ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับจากโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องการใช้ข้อสะโพกอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการนั่ง ยืน เดิน และการออกกำลังกายบริหารข้อสะโพก
2. ผู้ป่วยควรเริ่มเดินในระยะสั้นๆ ทุก 1 - 2 ชั่วโมง และค่อยๆ เพิ่มระยะทาง หรือเพิ่มเวลาเดินให้มากขึ้น ในสองสัปดาห์แรกแนะนำให้ใช้เครื่องช่วยพยุงเดิน เพื่อช่วยพยุงน้ำหนัก หลังจากนั้นหากผู้ป่วยมีความมั่นใจแล้วก็สามารถเดินด้วยตนเองได้เลย
3. ผู้ป่วยควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหกล้ม โดยการจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านไม่ให้กีดขวางทางเดิน โดยเปิดไฟให้มีแสงสว่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการเดินพื้นต่างระดับ หรือบริเวณพื้นเปียก ภายในห้องน้ำควรมีราวไว้เกาะ
4. ในการทำกิจวัตรประจำวัน ควรทำอย่างช้าๆ เช่น เวลาเอียงตัว หรือหมุนตัว ไม่ควรทำอย่างทันที
5. รับประทานอาหารให้หลากหลาย เน้นทานผักและผลไม้ เพื่อควบคุมน้ำหนัก และช่วยเรื่องการขับถ่าย
6. ผู้ป่วยไม่ควรนั่งไขว่ห้าง

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดในระยะ 2- 6 เดือน

1. ในช่วงเวลา 2 - 6 เดือนหลังผ่าตัด ผู้ป่วยอาจจะเดินได้ปกติมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน ซึ่งโดยทั่วไปหลังผ่าตัดไปแล้ว 6 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักเดินได้เองโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พยุงเดิน แต่ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยยังต้องออกกำลังกายบริหารและฝึกเดินต่อไป เพื่อให้ข้อสะโพกแข็งแรงและสามารถใช้งานได้ดีขึ้นกว่าก่อนทำการผ่าตัด และควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

2. ภายหลังการผ่าตัดประมาณ 3 เดือนแรกอาจจะยังรู้สึกว่าข้อสะโพกบวมและอุ่นเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังการฝึกออกกำลังกายใหม่ๆ จึงควรประคบเย็นบริเวณสะโพกบ่อยๆ

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันข้อสะโพกหลุด (จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน)

1. ไม่ควรงอข้อสะโพกเกิน 90 องศา เช่น นั่งเก้าอี้เตี้ย นั่งยองๆ หรือการนอนแล้วลุกนั่งเอื้อมไปหยิบของปลายเตียง

2. หลีกเลี่ยงการหมุนข้อสะโพกเข้าข้างใน เช่น นั่งพับเพียบ หรือนั่งไขว่ห้าง

3. หลีกเลี่ยงการใช้ขาข้างที่ผ่าตัดลงน้ำหนักเวลายืนบิดตัว

4. หลีกเลี่ยงการก้มตัวมาด้านหน้าขณะนั่ง

5. ไม่ควรพยายามใส่ถุงเท้า รองเท้าด้วยตัวเองโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย

6. หลีกเลี่ยงการกระโดด

7. ไม่ควรก้มหยิบของโดยไม่เหยียดขาอีกข้างไปด้านหลังก่อน

8. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมากเกินไปจนน้ำหนักตัวเพิ่ม

9. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก

10. การลุกจากที่นั่ง ควรใช้ที่วางแขนเป็นตัวช่วยดันเวลาลุกขึ้นหรือนั่งลง ไม่ควรนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีที่วางแขน

11. การนั่งรถยนต์ ควรเลื่อนให้ก้นอยู่ให้ไกลเบาะที่สุด(นั่งหลังพิงเบาะ) ให้ขาข้างที่ผ่าตัดเหยียดสุดและกางออก

12. การอาบน้ำในอ่างอาบน้ำในระยะแรกผู้ป่วยควรมีคนช่วยและอ่างอาบน้ำควรมีราวเกาะ การก้าวลงอ่างควรใช้ขาข้างที่ไม่ได้ทำการผ่าตัดลงก่อน อย่าใช้ขาข้างที่ทำผ่าตัดยืนขณะบิดตัว และอย่างอข้อสะโพกเกิน 90 องศา เมื่อสามารถยืนในอ่างอาบน้ำได้ทั้ง 2 ขาแล้วให้เหยียดขาข้างที่ผ่าตัดมาด้านหน้า มือจับราวเกาะแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงเพื่ออาบน้ำในการลุกให้ปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน

กิจกรรมที่เริ่มทำได้หลังการผ่าตัด

1. การทำงานขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ถ้าลักษณะงานเบา สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 6 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นงานหนัก ควรรอ 3 เดือนหลังการผ่าตัด

2. การเล่นกีฬา ถ้าเป็นกีฬาเบาๆ เช่น การตีกอล์ฟ สามารถเริ่มเล่นได้หลังการผ่าตัด 3 เดือน แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีการปะทะ

3. การขับรถ ควรเริ่มหลังการผ่าตัด 6 สัปดาห์ เพื่อให้สามารถเหยียดงอขาได้ดี

4. การใช้ไม้ค้ำยัน ควรใช้ 1 - 2 สัปดาห์ ภายหลังการผ่าตัด หรือหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง หากยังไม่แน่ใจ

5. ภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการบิดสะโพกหรืองอสะโพกเกินกว่า 90 องศา

6. สามารถว่ายน้ำได้ เมื่อแผลแห้งสนิทแล้วหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก

7. สามารถขึ้นลงบันไดได้ เวลาขึ้นบันไดควรเอาขาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดขึ้นก่อน แต่ในการลงบันไดควรเอาขาข้างที่ผ่าตัดลงก่อน แต่ถ้าใช้ไม้เท้าต้องระวังการล้ม

8. สามารถหิ้วของได้ แต่ถ้าเกิน 5 กิโลกรัม ควรรอประมาณ 6 สัปดาห์ หรือหลังจากสามารถเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า (แต่ไม่ควรหิ้วของหนักเกิน 10 กิโลกรัม)

อาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์

1. มีไข้ หนาวสั่น

2. มีอาการปวดมากขึ้นกว่าปกติ รับประทานยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น

3. มีอาการบวมตึงบริเวณขาร่วมกับปวดมาก และมีอาการเหนื่อย ไอ หายใจไม่เต็มอิ่ม

4. มีความรู้สึกว่าข้อสะโพกหลวม หรือบิดผิดปกติ

5. บริเวณแผลผ่าตัดมีน้ำเหลืองไหลออกมา

6. บริเวณรอบๆ แผลผ่าตัดมีลักษณะแดง หรือร้อน

7. ประสบอุบัติเหตุ หกล้มกระทบบริเวณรอบข้อสะโพก จนทำให้เดินไม่ไหว หรือทำให้ลงน้ำหนักที่ข้อสะโพกไม่ได้

การปฏิบัติตัวเพื่อดูแลรักษาข้อสะโพกเทียม

1. ควรควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกิน

2. ควรออกกำกลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน การตีกอล์ฟ การเต้นรำ แต่อย่าฝืนบริหารจนเกินกำลัง ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องใช้แรงปะทะ เช่น การเล่นฟุตบอล การวิ่งทางไกล

3. ควรงดการนั่งยองๆ นั่งไขว่ห้าง นั่งพับเพียบ หรือการนั่งเก้าอี้เตี้ยๆ โดยไม่จำเป็น

4. ควรดูแลสุขอนามัยของร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ

5. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก

6. ควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์ออร์โธปิดิกส์ ชั้น 2 โซน A

ข้อสะโพกประกอบด้วย

  • ส่วนหัวกระดูกสะโพก (Femur head)
  • ส่วนเบ้าสะโพก (Acetabulum)

ข้อสะโพกมีลักษณะอย่างไร  

มีลักษณะคล้ายลูกบอลซุกอยู่ในเบ้า ส่วนของลูกบอล คือ หัวกระดูกสะโพก (Femoral Head) จะมีลักษณะกลมมน เพื่อช่วยในการเคลื่อนไหว ส่วนหัวของกระดูกสะโพกจะต่อกับแกนกระดูกที่เรียกว่า “คอกระดูก” โดยที่บริเวณโคนคอกระดูกมีส่วนของกระดูกที่หนาขึ้นที่เรียกว่า "Greater Trochanter" ซึ่งสามารถคลำได้จากด้านนอก เมื่ออายุมากขึ้นกระดูกบริเวณสะโพกจะบางลง โดยเฉพาะคอกระดูก จึงมักพบกระดูกหักบริเวณนี้ได้บ่อยเมื่อผู้สูงอายุล้ม ส่วนของเบ้าสะโพก (Acetabulum) จะมีเอ็นมายึดเกาะมาก เมื่อเกิดอุบัติเหตุรุนแรงทำให้เส้นเอ็นที่ยึดอยู่ฉีกขาด อาจทำให้ข้อสะโพกหลุดได้ จากการที่เกิดกระดูกสะโพกหักหรือข้อสะโพกหลุดนั้น ส่งผลให้เส้นเลือดที่เลี้ยงหัวกระดูกต้นขาฉีกขาด ทำให้ขาดเลือดไปเลี้ยงส่งผลให้หัวกระดูกสะโพกตาย และอาจให้เกิดข้อเสื่อมตามมาได้

ข้อสะโพกเสื่อมมีลักษณะอย่างไร

ข้อสะโพกเป็นข้อต่อระหว่างกระดูกเชิงกรานและกระดูกต้นขา ทำหน้าที่งอเหยียดในเวลานั่ง เดิน ยืน หรือนอน และรับน้ำหนักในทุกอิริยาบถของร่างกาย เมื่อข้อสะโพกผ่านการใช้งานเป็นเวลานาน หรือเกิดความเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุอื่นๆ มักทำให้เกิดการสึกหรอของผิวข้อ หรือเกิดจากการทรุดตัวของหัวกระดูกต้นขาตามมา ปัญหาข้อสะโพกที่พบในคนไทยส่วนใหญ่มากกว่าร้อยละ 80 เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงในส่วนของกระดูกต้นขา ซึ่งมักจะมีสาเหตุมาจากการได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ หรือการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกฮอล์ผสมเป็นจำนวนมาก ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่พบว่าเป็นสาเหตุของข้อสะโพกเสื่อมได้ เช่น ภายหลังจากเกิดอุบัติเหตุบริเวณข้อสะโพก หรือข้อเสื่อมจากการใช้งานหนัก

อาการของโรคข้อสะโพกเสื่อม

ผู้ที่เป็นข้อสะโพกเสื่อมจะขยับสะโพกได้ลดลงจากที่เคยนั่งพับเพียบได้ก็นั่งไม่ได้ ปวดที่ขาหนีบบริเวณงอสะโพกหรือกางสะโพกมากๆ เวลาเดินลงน้ำหนักจะปวดบริเวณสะโพกขาหนีบ และบางครั้งอาจปวดร้าวลงไปถึงหน้าหัวเข่าได้

ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม

การตรวจร่างกายเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนการผ่าตัด

ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจร่างกายและพบแพทย์ เพื่อเตรียมความพร้อมของร่างกายก่อนรับการผ่าตัด ซึ่งสิ่งที่ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจ ได้แก่ การตรวจเลือด การตรวจปัสสาวะ การตรวจเอกซเรย์ปอด การตรวจคลื่นไฟฟ้า และการตรวจด้านอื่นๆตามความจำเป็น

กิจกรรมที่ผู้ป่วยควรปฏิบัติก่อนการผ่าตัด

1. งดสูบบุหรี่ เพื่อป้องกันการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ และภาวะแทรกซ้อนจากระบบไหลเวียนโลหิต

2. รักษาสุขภาพอนามัยของร่างกาย ปาก ฟัน อวัยวะสืบพันธุ์ เช่น หากมีฟันผุ เล็บขบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ควรรักษาให้เรียบร้อยก่อนการผ่าตัด

3. งดโกนขนบริเวณขาทั้ง 2 ข้าง เป็นระยะเวลา 5 วันก่อนการผ่าตัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อภายหลังการผ่าตัด

4. ควบคุมอาหารในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้น้ำหนักตัวมากเกินไป

5. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

ยาที่ผู้ป่วยควรรับประทานก่อนการผ่าตัด

1. หากผู้ป่วยมียารักษาโรคหัวใจ และยาลดความดันโลหิต สามารถรับประทานได้ตามปกติ และควรรับประทานอย่างต่อเนื่องจนถึงวันที่มาผ่าตัดที่โรงพยาบาล

2. หากผู้ป่วยมียาลดระดับน้ำตาลในเลือดแบบรับประทาน หรือแบบฉีด ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง และควรหยุดรับประทาน หรือหยุดฉีดยาในเช้าวันที่งดน้ำ งดอาหารก่อนมาผ่าตัดที่โรงพยาบาล

ยาที่ผู้ป่วยควรงดรับประทานอาหารก่อนการผ่าตัด

1. หากผู้ป่วยรับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกร็ดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อพิจารณาหยุดยา 1 สัปดาห์ก่อนรับการผ่าตัด

2. งดรับประทานยาต้ม ยาหม้อ ยาลูกกลอน น้ำมันปลา โอเมก้า-3 โสม แปะก๊วย กระเทียมอัดเม็ด หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของสมุนไพรต่างๆ

3. หากผู้ป่วยรับประทานยาต้านอักเสบของข้อ เช่น ยารักษาโรครูมาตอยด์ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาหยุดยา 2 สัปดาห์ก่อนรับการผ่าตัด

หากผู้ป่วยรับประทานยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น lbuprofen , Naproxen , Diclofenac ฯลฯ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาหยุดยาก่อนรับการผ่าตัด

การปฏิบัติตัวเมื่อมาถึงโรงพยาบาล

1. ผู้ป่วยจะต้องมาพบเจ้าหน้าที่ที่คลินิกผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อชั่งน้ำหนัก วัดความดัน และตรวจวัดสัญญาณชีพ

2. เจ้าหน้าที่จะซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับอาการของโรค ประวัติการรักษาในอดีต โรคประจำตัว หรือความผิดปกติอื่นๆของร่างกาย และสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับยาประจำตัวที่ผู้ป่วยรับประทานเป็นประจำ

3. หากผู้ป่วยมีประวัติแพ้อาหารหรือแพ้ยา กรุณาแจ้งชื่ออาหารหรือยา และอาการที่แพ้ให้แพทย์หรือพยาบาลทราบ

4. เจ้าหน้าที่จะเข็นผู้ป่วยมาที่ห้องเตรียมความพร้อมก่อนผ่าตัด

5. ผู้ป่วยต้องถอดเครื่องประดับทุกชนิด รวมทั้งเลนส์ตา และฟันปลอม หากมีฟันครอบ ฟันโยก ให้แจ้งพยาบาลทราบ

6. ผู้ป่วยจะได้พบแพทย์ผู้ทำการผ่าตัด เพื่อประเมินอาการอีกครั้ง โดยแพทย์จะใช้ปากการทำเครื่องหมายบริเวณที่จะทำการผ่าตัด เพื่อเป็นการระบุตำแหน่งได้อย่างถูกต้อง

7. ผู้ป่วยจะได้พบวิสัญญีแพทย์ เพื่อประเมินการเลือกใช้วิธีระงับความรู้สึก่อนทำการผ่าตัด

อาการปวดแผลหลังผ่าตัดควรทำอย่างไร

1. การประเมินอาการปวดแผลหลังผ่าตัด สามารถระบุได้ว่าผู้ป่วยปวดแผลมากน้อยเพียงใด โดยให้ระบุเป็นคะแนน 0 - 10 ซึ่งมีเกณฑ์การประเมินดังนี้

  • 1 - 2 คะแนน : ยอมรับได้ ไม่ต้องการรักษาพยาบาล
  • 3 - 4 คะแนน : มีอาการปวดเล็กน้อย สามารถทนได้
  • 5 - 6 คะแนน : มีอาการปวดปานกลาง บางครั้งอาจต้องการบรรเทาปวด
  • 6 คะแนนขึ้นไป : มีความจำเป็นต้องได้รับการรักษา โดยใช้ยาแก้ปวดร่วมด้วย ซึ่งไม่จำเป็นต้องรอให้ปวดถึงระดับ 10 หรือปวดจนไม่สามารถทนไหว

2. หากรู้สึกเริ่มมีอาการปวดแผลให้ขอยาบรรเทาปวดแบบเนิ่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยใช้ยาในปริมาณน้อย เช่น เมื่อเริ่มปวดมากกว่า 3 คะแนน สามารถแจ้งกับพยาบาลได้ทันที โดยไม่ต้องกังวลว่าจะติดยา
3. อย่าปล่อยให้ปวดมาก เพราะจะทำให้ต้องใช้ยาในปริมาณมาก อาการปวดแผลจะทำให้หายใจได้ไม่เต็มที่ ขยับตัวได้ไม่ดี ซึ่งอาจทำให้ฟื้นตัวช้า เกิดผลเสียต่อระบบไหลเวียนเลือด และท้องอืด
4. หากอาการปวดไม่ทุเลาลง ภายหลังได้รับยาต้องแจ้งให้พยาบาลทราบ ซึ่งโดยปกติยาแก้ปวดชนิดรับประทานจะออกฤทธิ์ภายใน 30 นาที - 1 ชั่วโมง และชนิดยาฉีดจะออกฤทธิ์ภายใน 5 - 15 นาที
5. หากมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือคันภายหลังผ่าตัด (ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนของยาแก้ปวดบางชนิด) กรุณาแจ้งพยาบาล เพื่อรับยาแก้อาการดังกล่าว

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดในเดือนแรก
1. ผู้ป่วยต้องปฏิบัติตามคำแนะนำที่ได้รับจากโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องการใช้ข้อสะโพกอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะการนั่ง ยืน เดิน และการออกกำลังกายบริหารข้อสะโพก
2. ผู้ป่วยควรเริ่มเดินในระยะสั้นๆ ทุก 1 - 2 ชั่วโมง และค่อยๆ เพิ่มระยะทาง หรือเพิ่มเวลาเดินให้มากขึ้น ในสองสัปดาห์แรกแนะนำให้ใช้เครื่องช่วยพยุงเดิน เพื่อช่วยพยุงน้ำหนัก หลังจากนั้นหากผู้ป่วยมีความมั่นใจแล้วก็สามารถเดินด้วยตนเองได้เลย
3. ผู้ป่วยควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอุบัติเหตุหกล้ม โดยการจัดสิ่งแวดล้อมภายในบ้านไม่ให้กีดขวางทางเดิน โดยเปิดไฟให้มีแสงสว่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการเดินพื้นต่างระดับ หรือบริเวณพื้นเปียก ภายในห้องน้ำควรมีราวไว้เกาะ
4. ในการทำกิจวัตรประจำวัน ควรทำอย่างช้าๆ เช่น เวลาเอียงตัว หรือหมุนตัว ไม่ควรทำอย่างทันที
5. รับประทานอาหารให้หลากหลาย เน้นทานผักและผลไม้ เพื่อควบคุมน้ำหนัก และช่วยเรื่องการขับถ่าย
6. ผู้ป่วยไม่ควรนั่งไขว่ห้าง

การดูแลตนเองหลังผ่าตัดในระยะ 2- 6 เดือน

1. ในช่วงเวลา 2 - 6 เดือนหลังผ่าตัด ผู้ป่วยอาจจะเดินได้ปกติมากขึ้น โดยส่วนใหญ่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน ซึ่งโดยทั่วไปหลังผ่าตัดไปแล้ว 6 สัปดาห์ ผู้ป่วยมักเดินได้เองโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์พยุงเดิน แต่ในช่วงเวลานี้ผู้ป่วยยังต้องออกกำลังกายบริหารและฝึกเดินต่อไป เพื่อให้ข้อสะโพกแข็งแรงและสามารถใช้งานได้ดีขึ้นกว่าก่อนทำการผ่าตัด และควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

2. ภายหลังการผ่าตัดประมาณ 3 เดือนแรกอาจจะยังรู้สึกว่าข้อสะโพกบวมและอุ่นเล็กน้อย โดยเฉพาะหลังการฝึกออกกำลังกายใหม่ๆ จึงควรประคบเย็นบริเวณสะโพกบ่อยๆ

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันข้อสะโพกหลุด (จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3 เดือน)

1. ไม่ควรงอข้อสะโพกเกิน 90 องศา เช่น นั่งเก้าอี้เตี้ย นั่งยองๆ หรือการนอนแล้วลุกนั่งเอื้อมไปหยิบของปลายเตียง

2. หลีกเลี่ยงการหมุนข้อสะโพกเข้าข้างใน เช่น นั่งพับเพียบ หรือนั่งไขว่ห้าง

3. หลีกเลี่ยงการใช้ขาข้างที่ผ่าตัดลงน้ำหนักเวลายืนบิดตัว

4. หลีกเลี่ยงการก้มตัวมาด้านหน้าขณะนั่ง

5. ไม่ควรพยายามใส่ถุงเท้า รองเท้าด้วยตัวเองโดยไม่ใช้อุปกรณ์ช่วย

6. หลีกเลี่ยงการกระโดด

7. ไม่ควรก้มหยิบของโดยไม่เหยียดขาอีกข้างไปด้านหลังก่อน

8. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมากเกินไปจนน้ำหนักตัวเพิ่ม

9. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก

10. การลุกจากที่นั่ง ควรใช้ที่วางแขนเป็นตัวช่วยดันเวลาลุกขึ้นหรือนั่งลง ไม่ควรนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีที่วางแขน

11. การนั่งรถยนต์ ควรเลื่อนให้ก้นอยู่ให้ไกลเบาะที่สุด(นั่งหลังพิงเบาะ) ให้ขาข้างที่ผ่าตัดเหยียดสุดและกางออก

12. การอาบน้ำในอ่างอาบน้ำในระยะแรกผู้ป่วยควรมีคนช่วยและอ่างอาบน้ำควรมีราวเกาะ การก้าวลงอ่างควรใช้ขาข้างที่ไม่ได้ทำการผ่าตัดลงก่อน อย่าใช้ขาข้างที่ทำผ่าตัดยืนขณะบิดตัว และอย่างอข้อสะโพกเกิน 90 องศา เมื่อสามารถยืนในอ่างอาบน้ำได้ทั้ง 2 ขาแล้วให้เหยียดขาข้างที่ผ่าตัดมาด้านหน้า มือจับราวเกาะแล้วค่อยๆหย่อนตัวลงเพื่ออาบน้ำในการลุกให้ปฏิบัติในลักษณะเดียวกัน

กิจกรรมที่เริ่มทำได้หลังการผ่าตัด

1. การทำงานขึ้นอยู่กับลักษณะงาน ถ้าลักษณะงานเบา สามารถกลับไปทำงานได้ภายใน 6 สัปดาห์ แต่ถ้าเป็นงานหนัก ควรรอ 3 เดือนหลังการผ่าตัด

2. การเล่นกีฬา ถ้าเป็นกีฬาเบาๆ เช่น การตีกอล์ฟ สามารถเริ่มเล่นได้หลังการผ่าตัด 3 เดือน แต่ควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่มีการปะทะ

3. การขับรถ ควรเริ่มหลังการผ่าตัด 6 สัปดาห์ เพื่อให้สามารถเหยียดงอขาได้ดี

4. การใช้ไม้ค้ำยัน ควรใช้ 1 - 2 สัปดาห์ ภายหลังการผ่าตัด หรือหลังจากนั้นอีกระยะหนึ่ง หากยังไม่แน่ใจ

5. ภายหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก สามารถมีเพศสัมพันธ์ได้ แต่ควรหลีกเลี่ยงการบิดสะโพกหรืองอสะโพกเกินกว่า 90 องศา

6. สามารถว่ายน้ำได้ เมื่อแผลแห้งสนิทแล้วหลังการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก

7. สามารถขึ้นลงบันไดได้ เวลาขึ้นบันไดควรเอาขาข้างที่ไม่ได้ผ่าตัดขึ้นก่อน แต่ในการลงบันไดควรเอาขาข้างที่ผ่าตัดลงก่อน แต่ถ้าใช้ไม้เท้าต้องระวังการล้ม

8. สามารถหิ้วของได้ แต่ถ้าเกิน 5 กิโลกรัม ควรรอประมาณ 6 สัปดาห์ หรือหลังจากสามารถเดินได้โดยไม่ต้องใช้ไม้เท้า (แต่ไม่ควรหิ้วของหนักเกิน 10 กิโลกรัม)

อาการผิดปกติที่ควรพบแพทย์

1. มีไข้ หนาวสั่น

2. มีอาการปวดมากขึ้นกว่าปกติ รับประทานยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น

3. มีอาการบวมตึงบริเวณขาร่วมกับปวดมาก และมีอาการเหนื่อย ไอ หายใจไม่เต็มอิ่ม

4. มีความรู้สึกว่าข้อสะโพกหลวม หรือบิดผิดปกติ

5. บริเวณแผลผ่าตัดมีน้ำเหลืองไหลออกมา

6. บริเวณรอบๆ แผลผ่าตัดมีลักษณะแดง หรือร้อน

7. ประสบอุบัติเหตุ หกล้มกระทบบริเวณรอบข้อสะโพก จนทำให้เดินไม่ไหว หรือทำให้ลงน้ำหนักที่ข้อสะโพกไม่ได้

การปฏิบัติตัวเพื่อดูแลรักษาข้อสะโพกเทียม

1. ควรควบคุมน้ำหนักไม่ให้มากเกิน

2. ควรออกกำกลังกาย เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เช่น การว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน การตีกอล์ฟ การเต้นรำ แต่อย่าฝืนบริหารจนเกินกำลัง ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงกีฬาที่ต้องใช้แรงปะทะ เช่น การเล่นฟุตบอล การวิ่งทางไกล

3. ควรงดการนั่งยองๆ นั่งไขว่ห้าง นั่งพับเพียบ หรือการนั่งเก้าอี้เตี้ยๆ โดยไม่จำเป็น

4. ควรดูแลสุขอนามัยของร่างกายให้สะอาดอยู่เสมอ

5. หลีกเลี่ยงการยกของหนัก

6. ควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์ออร์โธปิดิกส์ ชั้น 2 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง