ฟิลเลอร์ (Filler) คืออะไร?
ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารสังเคราะห์ที่มีความคงตัวสูง สลายได้เองตามธรรมชาติและก่อให้เกิดอาการแพ้น้อย โดยสารที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือกรดไฮยาลูโลนิก (Hyaluronic Acid) หรือเอชเอ (HA) เป็นสารที่พบได้ในชั้นผิวปกติและจะมีปริมาณลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้น ไฮยาลูโลนิก (Hyaluronic) สังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อใช้ฉีดเติมเต็มเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อทดแทนเส้นใยคอลลาเจนที่สลายไป ช่วยในการเติมเต็มรูปหน้า เติมร่องลึกต่าง ๆ และปรับรูปหน้าให้สมส่วนมากยิ่งขึ้น
กลไกการออกฤทธิ์ของฟิลเลอร์ (Filler)
กลไกการออกฤทธิ์ของกรดไฮยาลูโลนิก (Hyaluronic Acid) หรือเอชเอ (HA) คือการที่สารไปจับตัวกับน้ำในชั้นผิวหนังเกิดการคงรูปของฟิลเลอร์ ช่วยทำให้บริเวณที่เป็นร่องลึกดูตื้นขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ลง และปรับรูปหน้าให้สมส่วน
หลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler) จะอยู่ได้นานเท่าไร?
สามารถคงอยู่ในร่างกายได้ตั้งแต่ 6 เดือน - 2 ปี และจะสลายไปเองโดยไม่เหลือสารตกค้างขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ ตำแหน่งที่ได้รับการฉีด วิธีการฉีด รวมถึงวิธีการดูแลตนเองหลังการฉีดฟิลเลอร์
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- หากมีประวัติเหล่านี้ควรแจ้งให้แพทย์รับทราบก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ เคยมีประวัติแพ้ยา มีโรคประจำตัว มียารับประทานประจำ กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในระยะให้นมบุตร
- หากรับประทานยา/อาหารเสริมที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยากลุ่มแอสไพริน (Aspirin) วาร์ฟาริน (Warfarin) วิตามินอี น้ำมันตับปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย โสม กระเทียม เป็นต้น ควรแจ้งให้แพทย์รับทราบ เนื่องจากอาจทำให้เกิดรอยเขียวช้ำจากอาการเลือดออกใต้ผิวหนังหลังฉีดได้
การปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบนวด หรือคลึงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อน (migration) ของฟิลเลอร์ไปจากบริเวณที่ฉีดได้
- แนะนำดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้วหรือ 2 ลิตร/วัน โดยเฉพาะช่วง 4 – 5 วันแรก การดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 2 วันแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนประกอบของเอเอชเอ (AHA) บีเอชเอ (BHA) หรือวิตามินเอ (Retinoids) เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวบริเวณที่ฉีดได้
- 2 วันแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้เลือดสูบฉีดมาก อาจทำให้เกิดเลือดออกภายในเกิดรอยเขียวช้ำบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ได้
- 2 วันแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากทำให้แผลหายช้าลง และในกรณีฉีดฟิลเลอร์ที่ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือใช้หลอดดูดน้ำ เพราะอาจทำให้รูปร่างของปากผิดรูปหลังฉีดได้
- 2 สัปดาห์หลังฉีด ควรงดการอบไอน้ำ ซาวน่า ทำทรีตเมนต์ หรือทำเลเซอร์ เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวมแดงมาก ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีซีดหรือคล้ำขึ้น มีความผิดปกติของการมองเห็น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 2 - 3 วัน
- อาจเกิดผื่นแดงหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 1 - 2 สัปดาห์
- หากมีฟิลเลอร์ (Filler) เข้าไปในหลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้อวัยวะเสียหายจากการที่เลือดไม่ไปเลี้ยง
- การเกิดรอยนูน/ผิวไม่เรียบ เนื่องจากฟิลเลอร์อยู่ในชั้นที่ตื้นเกินไปหรือฟิลเลอร์ที่ฉีดมีโมเลกุลขนาดใหญ่
- เกิดการเคลื่อนย้าย (migration) ซึ่งเกิดจากการนวดคลึงทำให้รูปร่างเสียไป
- อาจเกิดอาการแพ้เป็นก้อนนูนแดงอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งอาจพบได้ภายหลังการฉีดฟิลเลอร์ผ่านไปแล้วเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ๆ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง
ฟิลเลอร์ (Filler) คือสารสังเคราะห์ที่มีความคงตัวสูง สลายได้เองตามธรรมชาติและก่อให้เกิดอาการแพ้น้อย โดยสารที่นิยมใช้ในปัจจุบัน คือกรดไฮยาลูโลนิก (Hyaluronic Acid) หรือเอชเอ (HA) เป็นสารที่พบได้ในชั้นผิวปกติและจะมีปริมาณลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ดังนั้นในทางการแพทย์จึงมีการคิดค้น ไฮยาลูโลนิก (Hyaluronic) สังเคราะห์ขึ้นมา เพื่อใช้ฉีดเติมเต็มเข้าไปในชั้นผิวหนังเพื่อทดแทนเส้นใยคอลลาเจนที่สลายไป ช่วยในการเติมเต็มรูปหน้า เติมร่องลึกต่าง ๆ และปรับรูปหน้าให้สมส่วนมากยิ่งขึ้น
กลไกการออกฤทธิ์ของฟิลเลอร์ (Filler)
กลไกการออกฤทธิ์ของกรดไฮยาลูโลนิก (Hyaluronic Acid) หรือเอชเอ (HA) คือการที่สารไปจับตัวกับน้ำในชั้นผิวหนังเกิดการคงรูปของฟิลเลอร์ ช่วยทำให้บริเวณที่เป็นร่องลึกดูตื้นขึ้น แลดูอ่อนเยาว์ลง และปรับรูปหน้าให้สมส่วน
หลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler) จะอยู่ได้นานเท่าไร?
สามารถคงอยู่ในร่างกายได้ตั้งแต่ 6 เดือน - 2 ปี และจะสลายไปเองโดยไม่เหลือสารตกค้างขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์ ตำแหน่งที่ได้รับการฉีด วิธีการฉีด รวมถึงวิธีการดูแลตนเองหลังการฉีดฟิลเลอร์
การเตรียมตัวก่อนฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- หากมีประวัติเหล่านี้ควรแจ้งให้แพทย์รับทราบก่อนทำการฉีดฟิลเลอร์ ได้แก่ เคยมีประวัติแพ้ยา มีโรคประจำตัว มียารับประทานประจำ กำลังตั้งครรภ์หรืออยู่ในระยะให้นมบุตร
- หากรับประทานยา/อาหารเสริมที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย เช่น ยากลุ่มแอสไพริน (Aspirin) วาร์ฟาริน (Warfarin) วิตามินอี น้ำมันตับปลา สารสกัดจากใบแปะก๊วย โสม กระเทียม เป็นต้น ควรแจ้งให้แพทย์รับทราบ เนื่องจากอาจทำให้เกิดรอยเขียวช้ำจากอาการเลือดออกใต้ผิวหนังหลังฉีดได้
การปฏิบัติตัวหลังฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- หลีกเลี่ยงการสัมผัส บีบนวด หรือคลึงบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ เพราะอาจทำให้เกิดการเคลื่อน (migration) ของฟิลเลอร์ไปจากบริเวณที่ฉีดได้
- แนะนำดื่มน้ำมาก ๆ อย่างน้อยวันละ 6 - 8 แก้วหรือ 2 ลิตร/วัน โดยเฉพาะช่วง 4 – 5 วันแรก การดื่มน้ำจะช่วยให้ฟิลเลอร์ที่เป็นสารอุ้มน้ำทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 2 วันแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิว ที่มีส่วนประกอบของเอเอชเอ (AHA) บีเอชเอ (BHA) หรือวิตามินเอ (Retinoids) เนื่องจากอาจทำให้เกิดการระคายเคืองกับผิวบริเวณที่ฉีดได้
- 2 วันแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากจะทำให้เลือดสูบฉีดมาก อาจทำให้เกิดเลือดออกภายในเกิดรอยเขียวช้ำบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ได้
- 2 วันแรกหลังฉีด ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เนื่องจากทำให้แผลหายช้าลง และในกรณีฉีดฟิลเลอร์ที่ปาก ควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือใช้หลอดดูดน้ำ เพราะอาจทำให้รูปร่างของปากผิดรูปหลังฉีดได้
- 2 สัปดาห์หลังฉีด ควรงดการอบไอน้ำ ซาวน่า ทำทรีตเมนต์ หรือทำเลเซอร์ เพราะจะทำให้ฟิลเลอร์สลายตัวเร็วขึ้น
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น ปวด บวมแดงมาก ผิวหนังเปลี่ยนเป็นสีซีดหรือคล้ำขึ้น มีความผิดปกติของการมองเห็น ควรรีบมาพบแพทย์ทันที
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นหลังการฉีดฟิลเลอร์ (Filler)
- อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อยบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 2 - 3 วัน
- อาจเกิดผื่นแดงหรือรอยช้ำบริเวณที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 1 - 2 สัปดาห์
- หากมีฟิลเลอร์ (Filler) เข้าไปในหลอดเลือด อาจทำให้เกิดการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้อวัยวะเสียหายจากการที่เลือดไม่ไปเลี้ยง
- การเกิดรอยนูน/ผิวไม่เรียบ เนื่องจากฟิลเลอร์อยู่ในชั้นที่ตื้นเกินไปหรือฟิลเลอร์ที่ฉีดมีโมเลกุลขนาดใหญ่
- เกิดการเคลื่อนย้าย (migration) ซึ่งเกิดจากการนวดคลึงทำให้รูปร่างเสียไป
- อาจเกิดอาการแพ้เป็นก้อนนูนแดงอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งอาจพบได้ภายหลังการฉีดฟิลเลอร์ผ่านไปแล้วเป็นเวลาหลายเดือนหรือเป็นปี ๆ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง