สะเก็ดเงิน โรคผิวหนังที่รักษาไม่หายขาด

สะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ผิวหนังมีการแบ่งตัวของเซลล์รวดเร็วผิดปกติ จนผิวหนังเกิดการอักเสบนูนหนาขึ้น โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคไม่ติดต่อ ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมโรคได้

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน

ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ร่วมกับความผิดปกติของสารพันธุกรรมกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเจริญเร็วกว่าปกติ และพบว่ามีปัจจัยภายนอกที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดโรคได้ มีดังนี้

  • การบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การเกา การถู การเสียดสี รอยถลอก แผลผ่าตัด เป็นต้น
  • ภาวะเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในขณะตั้งครรภ์ ขณะมีรอบเดือน หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด
  • การติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อสเตปโตคอคคัสในระบบทางเดินหายใจ
  • โรคอ้วน
  • ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคซึมเศร้า
  • อาหารบางชนิดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ความเครียดรุนแรง
  • แสงแดดที่ร้อนเกินไปจนทำให้เกิดผิวไหม้
  • การสัมผัสสารเคมี หรือสารระคายเคืองต่าง ๆ
  • ภูมิอากาศ

อาการของโรคสะเก็ดเงิน

  • ผื่นที่มีวงขอบเขตชัดเจนมีสะเก็ด
  • ผิวแห้งมากจนแตกและมีเลือดออก
  • เจ็บคันหรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวหนัง
  • หนังศีรษะลอกเป็นขุย
  • เล็บมือและเท้าหนาขึ้น มีรอยบุ๋มผิดรูปทรง
  • ปวดข้อต่อและมีอาการบวมตามข้อต่อ

การรักษาโรคสะเก็ดเงิน

วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยที่มีอาการผื่นผิวหนังเล็กน้อยถึงปานกลาง (≤10% ของพื้นที่ผิวหนังทั้งหมด) อาจรักษาด้วยการใช้ยาทาภายนอก เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ น้ำมันดิน แอนทราลิน อนุพันธ์ของวิตามินดี ยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitor (แคลซินูริน อินฮิบิเตอร์) และ Keratolytic agents (สารลอกเคอราติน) และในรายที่มีอาการผื่นผิวหนังปานกลางไปจนถึงมาก หรือมีข้ออักเสบร่วมด้วย แพทย์อาจรักษาด้วยการใช้ยารับประทาน ยาฉีด หรือการฉายแสงด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต ดังนี้

  • การรักษาด้วยยาชนิดรับประทาน เช่น เมทโทเทรกเสท อาซิเทรติน ไซโคลสปอริน
  • การรักษาด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต จัดเป็นอีกวิธีที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยที่ใช้ในการรักษามี 2 ชนิด คือ ยูวีเอและยูวีบี ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน
  • การรักษาด้วยยาชนิดฉีดกลุ่มชีวภาพ เช่น Etanercept (อีทาเนอเซปท์), Infliximab (อินฟลิซิแมบ), Adalimumab (อะดาลิมูแมบ), Ustekinumab (อุสเตคินูแมบ), Secukinumab (ซีคูคินูแมบ), Ixekizumab (อิเซคิซซูแมบ), Brodalumab (โบรดาลูแมบ), Guselkumab (กูเซลคูแมบ)

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคสะเก็ดเงิน

  1. กรณีได้รับยาทาภายนอก ควรทาจากบนลงล่างหรือตามแนวขน เพื่อให้ยาเกิดการดูดซึมได้ดี ไม่ทายาหนาหรือบ่อยจนเกินไป
  2. การอาบน้ำ สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ที่เป็นยาหรือสบู่ชนิดพิเศษ และควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น เนื่องจากทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
  3. ควรทาครีมหรือโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นบ่อยๆ วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยลดการระคายเคืองของผิวหนัง กรณีมีรอยโรคบริเวณหนังศีรษะ ห้ามเกาหรือขูดหนังศีรษะ งดใช้น้ำยาที่เป็นสารเคมีดัด ย้อม หรือโกรกผม เพราะอาจเกิดการแพ้ระคายเคือง
  4. ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ เพราะโรคสะเก็ดเงินมักมีอาการคัน หากเล็บยาวไม่สะอาด เมื่อเกาด้วยความรุนแรงจะทำให้เกิดแผลและติดเชื้อได้
  5. แนะนำควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน หมั่นออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ไขมันสูง
  6. แนะนำหลีกเลี่ยงความเครียด การอดนอน งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. หากรับประทานยาหรือฉีดยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันอยู่ ควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และเมื่อเจ็บป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดมีปฏิกิริยาต่อกัน
  8. มาตรวจติดตามอาการตามนัด หากมีอาการผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A

สะเก็ดเงิน (Psoriasis) โรคเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เซลล์ผิวหนังมีการแบ่งตัวของเซลล์รวดเร็วผิดปกติ จนผิวหนังเกิดการอักเสบนูนหนาขึ้น โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคไม่ติดต่อ ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมโรคได้

สาเหตุของโรคสะเก็ดเงิน

ไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด แต่อาจเกิดจากความบกพร่องของระบบภูมิคุ้มกัน ร่วมกับความผิดปกติของสารพันธุกรรมกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังเจริญเร็วกว่าปกติ และพบว่ามีปัจจัยภายนอกที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดโรคได้ มีดังนี้

  • การบาดเจ็บของผิวหนัง เช่น การเกา การถู การเสียดสี รอยถลอก แผลผ่าตัด เป็นต้น
  • ภาวะเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น ในขณะตั้งครรภ์ ขณะมีรอบเดือน หรือการรับประทานยาคุมกำเนิด
  • การติดเชื้อโดยเฉพาะเชื้อสเตปโตคอคคัสในระบบทางเดินหายใจ
  • โรคอ้วน
  • ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยารักษาโรคซึมเศร้า
  • อาหารบางชนิดและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • ความเครียดรุนแรง
  • แสงแดดที่ร้อนเกินไปจนทำให้เกิดผิวไหม้
  • การสัมผัสสารเคมี หรือสารระคายเคืองต่าง ๆ
  • ภูมิอากาศ

อาการของโรคสะเก็ดเงิน

  • ผื่นที่มีวงขอบเขตชัดเจนมีสะเก็ด
  • ผิวแห้งมากจนแตกและมีเลือดออก
  • เจ็บคันหรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณผิวหนัง
  • หนังศีรษะลอกเป็นขุย
  • เล็บมือและเท้าหนาขึ้น มีรอยบุ๋มผิดรูปทรง
  • ปวดข้อต่อและมีอาการบวมตามข้อต่อ

การรักษาโรคสะเก็ดเงิน

วิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ผู้ป่วยที่มีอาการผื่นผิวหนังเล็กน้อยถึงปานกลาง (≤10% ของพื้นที่ผิวหนังทั้งหมด) อาจรักษาด้วยการใช้ยาทาภายนอก เช่น ยาทาคอร์ติโคสเตียรอยด์ น้ำมันดิน แอนทราลิน อนุพันธ์ของวิตามินดี ยาทากลุ่ม Calcineurin inhibitor (แคลซินูริน อินฮิบิเตอร์) และ Keratolytic agents (สารลอกเคอราติน) และในรายที่มีอาการผื่นผิวหนังปานกลางไปจนถึงมาก หรือมีข้ออักเสบร่วมด้วย แพทย์อาจรักษาด้วยการใช้ยารับประทาน ยาฉีด หรือการฉายแสงด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต ดังนี้

  • การรักษาด้วยยาชนิดรับประทาน เช่น เมทโทเทรกเสท อาซิเทรติน ไซโคลสปอริน
  • การรักษาด้วยรังสีอัลตราไวโอเลต จัดเป็นอีกวิธีที่ได้ผลดีในการรักษาสะเก็ดเงิน โดยที่ใช้ในการรักษามี 2 ชนิด คือ ยูวีเอและยูวีบี ซึ่งผู้ป่วยต้องมารับการรักษา 2-3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3 เดือนติดต่อกัน
  • การรักษาด้วยยาชนิดฉีดกลุ่มชีวภาพ เช่น Etanercept (อีทาเนอเซปท์), Infliximab (อินฟลิซิแมบ), Adalimumab (อะดาลิมูแมบ), Ustekinumab (อุสเตคินูแมบ), Secukinumab (ซีคูคินูแมบ), Ixekizumab (อิเซคิซซูแมบ), Brodalumab (โบรดาลูแมบ), Guselkumab (กูเซลคูแมบ)

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคสะเก็ดเงิน

  1. กรณีได้รับยาทาภายนอก ควรทาจากบนลงล่างหรือตามแนวขน เพื่อให้ยาเกิดการดูดซึมได้ดี ไม่ทายาหนาหรือบ่อยจนเกินไป
  2. การอาบน้ำ สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องใช้สบู่ที่เป็นยาหรือสบู่ชนิดพิเศษ และควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่น เนื่องจากทำให้ผิวแห้งมากขึ้น
  3. ควรทาครีมหรือโลชั่นที่ให้ความชุ่มชื้นบ่อยๆ วันละ 2-3 ครั้ง เพื่อช่วยลดการระคายเคืองของผิวหนัง กรณีมีรอยโรคบริเวณหนังศีรษะ ห้ามเกาหรือขูดหนังศีรษะ งดใช้น้ำยาที่เป็นสารเคมีดัด ย้อม หรือโกรกผม เพราะอาจเกิดการแพ้ระคายเคือง
  4. ตัดเล็บให้สั้นอยู่เสมอ เพราะโรคสะเก็ดเงินมักมีอาการคัน หากเล็บยาวไม่สะอาด เมื่อเกาด้วยความรุนแรงจะทำให้เกิดแผลและติดเชื้อได้
  5. แนะนำควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วน หมั่นออกกำลังกายและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ไขมันสูง
  6. แนะนำหลีกเลี่ยงความเครียด การอดนอน งดสูบบุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  7. หากรับประทานยาหรือฉีดยาที่มีฤทธิ์กดภูมิคุ้มกันอยู่ ควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด และเมื่อเจ็บป่วยไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิดมีปฏิกิริยาต่อกัน
  8. มาตรวจติดตามอาการตามนัด หากมีอาการผิดปกติควรรีบมาพบแพทย์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ผิวหนังและศัลยกรรมตกแต่ง ชั้น 3 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง