ดูแลเท้าอย่างไร? เมื่อเป็นเบาหวาน

ผู้เป็นเบาหวานทำไมถึงต้องดูแลเท้า

            ผู้เป็นเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมถึงขาและเท้า พบว่าผู้เป็นเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าสูง นำไปสู่การถูกตัดนิ้วเท้า เท้า หรือขาได้ โดยสาเหตุที่ผู้เป็นเบาหวานเกิดแผลที่เท้าง่าย เกิดได้จาก

  1. ระบบปลายประสาทส่วนปลายเสื่อม หรือบางคนอาจเรียกว่า “เบาหวานลงเท้า” ภาวะนี้มีอาการได้หลากหลาย ในระยะแรก มักมาด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน โดยเฉพาะตอนกลางคืน แต่อาการที่พบบ่อยกว่า คือ อาการชา ผู้เป็นเบาหวานมักมีอาการทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน โดยเริ่มชาจากปลายนิ้วเท้าก่อน แล้วเริ่มชาไล่ขึ้นไปบริเวณหลังเท้าและขาทั้งสองข้าง เมื่อมีอาการชา อาจเหยียบของมีคมโดยไม่รู้สึกตัวทำให้เกิดแผลได้ง่าย นอกจากนั้นอาการชาอาจทำให้ผู้ป่วยเดินลงน้ำหนักที่บริเวณแผล ทำให้แผลถูกกดทับตลอดเวลาและไม่สามารถหายได้ เมื่อระบบประสาทส่วนปลายเสื่อมนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อเล็กๆ บางมัดบริเวณเท้าฝ่อลง เกิดเท้าบิดผิดรูป ทำให้บางส่วนของเท้ามีการรับน้ำหนักผิดปกติทำให้เกิดแผลที่เท้าตามมาได้
  2. ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าแห้ง คัน ทำให้เกิดแผลได้ง่าย
  3. หลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ ทำให้แผลที่เท้าหายยากขึ้น และนำไปสู่การสูญเสียเท้าหรือขาตามมาได้

ลักษณะความผิดปกติของเท้าที่อาจพบได้ในผู้เป็นเบาหวาน

  1. เท้าผิดรูปในลักษณะต่างๆ
  2. ผิวหนังที่เท้าผิดปกติ หนังแข็งหรือตาปลาที่บริเวณเท้า
  3. แผลที่เท้าแบบต่างๆ

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดแผลที่เท้า และการถูกตัดเท้าหรือขาในผู้เป็นเบาหวาน

  • เพศชาย
  • สูงอายุ
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่เคยมีแผลที่เท้า หรือถูกตัดเท้าหรือขามาก่อน
  • ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน หรือมีหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ
  • ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดขนาดเล็กจากเบาหวาน เช่น จอประสาทตาเสื่อม ไตเสื่อม
  • ผู้ที่มีเท้าผิดรูป หนังแข็ง หรือเล็บเท้าผิดปกติ
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานมากกว่า 10 ปี หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี
  • ผู้ที่สวมรองเท้าไม่เหมาะสม หรือมีพฤติกรรมการดูแลเท้าที่ไม่ถูกต้อง

วิธีการดูแลเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เท้า

คำแนะนำทั่วไป

  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสำรวจและตรวจเท้า
  • หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง เนื่องจากอาจกดทับเส้นประสาทที่บริเวณเข่าได้
  • ห้ามสูบบุหรี่
  • หากพบว่ามีแผลแม้เพียงเล็กน้อย ให้ทำความสะอาดทันทีและควรรีบมาพบแพทย์

การสำรวจเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • สำรวจเท้าตนเองทุกวัน โดยสำรวจอย่างละเอียดทั้งบริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และระหว่างซอกนิ้วทุกๆนิ้ว ว่ามีรอยแดงที่ผิดปกติ รอยแผลถลอก บาดแผล หนังด้านแข็ง รอยแตก การติดเชื้อรา หรือสิ่งผิดปกติที่อาจมีอยู่ใต้ฝ่าเท้าโดยที่เราไม่ทราบหรือไม่มีอาการเจ็บมาก่อนหรือไม่
  • หากไม่สามารถก้มสำรวจเท้าได้เอง ควรใช้กระจกสะท้อนส่องดู
  • หากมีปัญหาเรื่องการมองเห็นควรให้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดสำรวจเท้าแทน
  • หากมีหนังด้านแห้ง หูด ตาปลา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา ไม่ควรตัดหรือใช้สารเคมีลอกด้วยตนเอง

การทำความสะอาดเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • ทำความสะอาดเท้า โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน วันละ 2 ครั้ง รวมทั้งทำความสะอาดทันทีที่เท้าสกปรก หลังทำความสะอาดควรเช็ดเท้าให้แห้งทันทีด้วยผ้าเช็ดตัวหรือผ้านุ่มที่สะอาด
  • ห้ามใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดเท้า เนื่องจากจะทำให้ผิวเท้าแห้งยิ่งขึ้น
  • ห้ามแช่เท้าในน้ำอุ่นหรือวางกระเป๋าน้ำร้อนบนเท้าเด็ดขาด หากมีอาการเท้าเย็นตอนกลางคืนให้สวมถุงเท้า

การทาโลชั่นบริเวณเท้าหลังการทำความสะอาดเท้า

  • ผู้เป็นเบาหวานมักมีผิวหนังแห้งหรือค่อนข้างแห้ง อาจทำให้คันและเกิดแผลได้ ควรใช้โลชั่นหรือครีมทาบางๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยเลือกโลชั่นชนิดใดก็ได้ แต่ควรเป็นโลชั่นที่ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วและไม่ลื่น
  • แนะนำให้ทาโลชั่นบริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และบริเวณเล็บเท้า หลีกเลี่ยงการทาบริเวณซอกนิ้วเท้าเนื่องจากจะก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
  • ระหว่างการทาโลชั่นที่เท้าสามารถใช้ฝ่ามือลูบบริเวณฝ่าเท้าที่เรามองไม่เห็น ว่าผิวสัมผัสเรียบปกติหรือไม่ ถ้าผิวสัมผัสไม่เรียบ บ่งชี้ว่าอาจมีสิ่งผิดปกติอยู่บริเวณฝ่าเท้า
  • ควรทิ้งเวลาให้โลชั่นที่ทาซึมเข้าสู่ผิวหนัง ก่อนการสวมถุงเท้าหรือรองเท้า

การใส่ถุงเท้าและรองเท้า

  • ผู้เป็นเบาหวานควรสวมถุงเท้าและรองเท้าเสมอ ทั้งขณะเดินในบ้านและนอกบ้าน ไม่ควรเดินเท้าเปล่า
  • ควรสวมถุงเท้าก่อนสวมรองเท้าเสมอ โดยเลือกถุงเท้าที่ไม่รัดแน่นเกินไป ไม่มีตะเข็บ (หากถุงเท้ามีตะเข็บให้กลับด้านในออก) และควรเปลี่ยนทุกวัน
  • สำรวจภายในรองเท้าก่อนสวมทุกครั้งว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันการเหยียบสิ่งแปลกปลอมจนเกิดแผล
  • หากสวมรองเท้าใหม่ ควรสวมประมาณครึ่งชั่วโมงในวันแรกๆ วันต่อไปค่อยๆเพิ่มเป็นหนึ่งชั่วโมง โดยสวมสลับกับรองเท้าคู่เก่า เพื่อให้รองเท้าค่อยๆขยายปรับตัวจนเข้ากับเท้าได้ดี

การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม

  • เลือกสวมรองเท้าที่มีขนาดพอดี เหมาะสมกับรูปเท้า ไม่หลวมหรือคับเกินไป ไม่มีหน้าแคบจนบีบหน้าเท้า
  • เนื่องจากรองเท้าเบอร์เดียวกันอาจมีขนาดแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ และคนส่วนใหญ่มักมีขนาดเท้าสองข้างไม่เท่ากัน จึงควรลองสวมรองเท้าทั้งสองข้างและลองเดินก่อนเลือกซื้อรองเท้าเสมอ
  • ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้นเพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่เท้า ไม่มีตะเข็บหรือมีตะเข็บน้อยเพื่อมิให้ตะเข็บกดผิวหนัง และมีเชือกผูกหรือมีแถบ Velcro เพื่อช่วยให้สามารถปรับความพอดีกับเท้าได้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะแบบคีบหรือรองเท้าแตะที่ทำด้วยหนังหรือพลาสติกแข็ง

การตัดเล็บ

  • ควรใช้กรรไกรตัดเล็บขอบตรงตัดตามแนวขอบเล็บเท่านั้นโดยให้ปลายเล็บเสมอกับปลายนิ้ว แล้วใช้ตะไบขัดเพื่อลบรอบคมและป้องกันการเกิดเล็บขบ
  • ห้าม ตัดเล็บสั้นเกินไปและลึกถึงจมูกเล็บ
  • ห้าม ตัดเนื้อเพราะอาจเกิดแผลและมีเลือดออก
  • ถ้าเล็บหนาไม่สามารถตัดเล็บเองได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้าตัดเล็บให้

การออกกำลังกายเท้า

  • ควรออกกำลังกายเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาปลายเท้า โดยมีท่าบริหารดังนี้
  • กระดกข้อเท้าขึ้นลงสลับกัน
  • หมุนข้อเท้า โดยหมุนเข้าและออกสลับกัน
  • ใช้นิ้วเท้าจิกผ้าที่วางอยู่บนพื้นเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆในเท้า
  • นั่งบนเก้าอี้ ยกขาขึ้น เหยียดเข่าตึง และกระดกข้อเท้าขึ้นค้างไว้นับ 1 ถึง 10 นับเป็น 1 ครั้ง
  • ควรออกำลังกายอย่างน้อยวันละ 3 รอบ รอบละ 10 ครั้ง

ระดับความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้าสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน

  1. ระดับความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่ไม่มีแผลที่เท้าขณะประเมิน ไม่มีประวัติการเป็นแผลที่เท้าหรือถูกตัดขา / เท้า / นิ้วเท้า ผิวหนังและรูปเท้าผิดปกติ ผลการประเมินการรับความรู้สึกในการป้องกันตนเองที่เท้าและชีพจรปกติ
  2. ระดับความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่ตรวจพบผลการประเมินการรับความรู้สึกในการป้องกันตนเองที่เท้าผิดปกติและ/หรือ ชีพจรเท้าเบาลง หรือตรวจค่า ABI < 0.9 ควรพิจารณาอุปกรณ์เสริมในรองเท้าหรือรองเท้าที่เหมาะสมและนัดตรวจเท้าอย่างละเอียดทุก 6 เดือน
  3. ระดับความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่มีประวัติมีแผลที่เท้าหรือถูกตัดขา / เท้า / นิ้วเท้า หรือมีความเสี่ยงปานกลางร่วมกับพบเท้าผิดรูป ควรพิจารณาตัดรองเท้าพิเศษ และนัดตรวจเท้าอย่างละเอียดทุก 3 เดือน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! คลินิกเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ ชั้น 4 โซน D

ผู้เป็นเบาหวานทำไมถึงต้องดูแลเท้า

            ผู้เป็นเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆในร่างกาย รวมถึงขาและเท้า พบว่าผู้เป็นเบาหวานมีโอกาสเกิดแผลเรื้อรังที่เท้าสูง นำไปสู่การถูกตัดนิ้วเท้า เท้า หรือขาได้ โดยสาเหตุที่ผู้เป็นเบาหวานเกิดแผลที่เท้าง่าย เกิดได้จาก

  1. ระบบปลายประสาทส่วนปลายเสื่อม หรือบางคนอาจเรียกว่า “เบาหวานลงเท้า” ภาวะนี้มีอาการได้หลากหลาย ในระยะแรก มักมาด้วยอาการปวดแสบปวดร้อน โดยเฉพาะตอนกลางคืน แต่อาการที่พบบ่อยกว่า คือ อาการชา ผู้เป็นเบาหวานมักมีอาการทั้งสองข้างพร้อมๆ กัน โดยเริ่มชาจากปลายนิ้วเท้าก่อน แล้วเริ่มชาไล่ขึ้นไปบริเวณหลังเท้าและขาทั้งสองข้าง เมื่อมีอาการชา อาจเหยียบของมีคมโดยไม่รู้สึกตัวทำให้เกิดแผลได้ง่าย นอกจากนั้นอาการชาอาจทำให้ผู้ป่วยเดินลงน้ำหนักที่บริเวณแผล ทำให้แผลถูกกดทับตลอดเวลาและไม่สามารถหายได้ เมื่อระบบประสาทส่วนปลายเสื่อมนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อเล็กๆ บางมัดบริเวณเท้าฝ่อลง เกิดเท้าบิดผิดรูป ทำให้บางส่วนของเท้ามีการรับน้ำหนักผิดปกติทำให้เกิดแผลที่เท้าตามมาได้
  2. ระบบประสาทอัตโนมัติเสื่อม ทำให้ผิวหนังบริเวณเท้าแห้ง คัน ทำให้เกิดแผลได้ง่าย
  3. หลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ ทำให้แผลที่เท้าหายยากขึ้น และนำไปสู่การสูญเสียเท้าหรือขาตามมาได้

ลักษณะความผิดปกติของเท้าที่อาจพบได้ในผู้เป็นเบาหวาน

  1. เท้าผิดรูปในลักษณะต่างๆ
  2. ผิวหนังที่เท้าผิดปกติ หนังแข็งหรือตาปลาที่บริเวณเท้า
  3. แผลที่เท้าแบบต่างๆ

ปัจจัยเสี่ยงการเกิดแผลที่เท้า และการถูกตัดเท้าหรือขาในผู้เป็นเบาหวาน

  • เพศชาย
  • สูงอายุ
  • ผู้ที่สูบบุหรี่
  • ผู้ที่เคยมีแผลที่เท้า หรือถูกตัดเท้าหรือขามาก่อน
  • ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทส่วนปลายจากโรคเบาหวาน หรือมีหลอดเลือดส่วนปลายที่ขาตีบ
  • ผู้ที่มีภาวะแทรกซ้อนหลอดเลือดขนาดเล็กจากเบาหวาน เช่น จอประสาทตาเสื่อม ไตเสื่อม
  • ผู้ที่มีเท้าผิดรูป หนังแข็ง หรือเล็บเท้าผิดปกติ
  • ผู้ที่เป็นเบาหวานมานานมากกว่า 10 ปี หรือควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี
  • ผู้ที่สวมรองเท้าไม่เหมาะสม หรือมีพฤติกรรมการดูแลเท้าที่ไม่ถูกต้อง

วิธีการดูแลเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน เพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เท้า

คำแนะนำทั่วไป

  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • มาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสำรวจและตรวจเท้า
  • หลีกเลี่ยงการนั่งไขว่ห้าง เนื่องจากอาจกดทับเส้นประสาทที่บริเวณเข่าได้
  • ห้ามสูบบุหรี่
  • หากพบว่ามีแผลแม้เพียงเล็กน้อย ให้ทำความสะอาดทันทีและควรรีบมาพบแพทย์

การสำรวจเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • สำรวจเท้าตนเองทุกวัน โดยสำรวจอย่างละเอียดทั้งบริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และระหว่างซอกนิ้วทุกๆนิ้ว ว่ามีรอยแดงที่ผิดปกติ รอยแผลถลอก บาดแผล หนังด้านแข็ง รอยแตก การติดเชื้อรา หรือสิ่งผิดปกติที่อาจมีอยู่ใต้ฝ่าเท้าโดยที่เราไม่ทราบหรือไม่มีอาการเจ็บมาก่อนหรือไม่
  • หากไม่สามารถก้มสำรวจเท้าได้เอง ควรใช้กระจกสะท้อนส่องดู
  • หากมีปัญหาเรื่องการมองเห็นควรให้ญาติหรือผู้ใกล้ชิดสำรวจเท้าแทน
  • หากมีหนังด้านแห้ง หูด ตาปลา ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษา ไม่ควรตัดหรือใช้สารเคมีลอกด้วยตนเอง

การทำความสะอาดเท้าสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

  • ทำความสะอาดเท้า โดยเฉพาะบริเวณซอกนิ้วเท้าทุกวันด้วยน้ำสะอาดและสบู่อ่อน วันละ 2 ครั้ง รวมทั้งทำความสะอาดทันทีที่เท้าสกปรก หลังทำความสะอาดควรเช็ดเท้าให้แห้งทันทีด้วยผ้าเช็ดตัวหรือผ้านุ่มที่สะอาด
  • ห้ามใช้แอลกอฮอล์ทำความสะอาดเท้า เนื่องจากจะทำให้ผิวเท้าแห้งยิ่งขึ้น
  • ห้ามแช่เท้าในน้ำอุ่นหรือวางกระเป๋าน้ำร้อนบนเท้าเด็ดขาด หากมีอาการเท้าเย็นตอนกลางคืนให้สวมถุงเท้า

การทาโลชั่นบริเวณเท้าหลังการทำความสะอาดเท้า

  • ผู้เป็นเบาหวานมักมีผิวหนังแห้งหรือค่อนข้างแห้ง อาจทำให้คันและเกิดแผลได้ ควรใช้โลชั่นหรือครีมทาบางๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น โดยเลือกโลชั่นชนิดใดก็ได้ แต่ควรเป็นโลชั่นที่ซึมซับเข้าสู่ผิวหนังได้อย่างรวดเร็วและไม่ลื่น
  • แนะนำให้ทาโลชั่นบริเวณหลังเท้า ฝ่าเท้า ส้นเท้า และบริเวณเล็บเท้า หลีกเลี่ยงการทาบริเวณซอกนิ้วเท้าเนื่องจากจะก่อให้เกิดความอับชื้นได้ง่าย
  • ระหว่างการทาโลชั่นที่เท้าสามารถใช้ฝ่ามือลูบบริเวณฝ่าเท้าที่เรามองไม่เห็น ว่าผิวสัมผัสเรียบปกติหรือไม่ ถ้าผิวสัมผัสไม่เรียบ บ่งชี้ว่าอาจมีสิ่งผิดปกติอยู่บริเวณฝ่าเท้า
  • ควรทิ้งเวลาให้โลชั่นที่ทาซึมเข้าสู่ผิวหนัง ก่อนการสวมถุงเท้าหรือรองเท้า

การใส่ถุงเท้าและรองเท้า

  • ผู้เป็นเบาหวานควรสวมถุงเท้าและรองเท้าเสมอ ทั้งขณะเดินในบ้านและนอกบ้าน ไม่ควรเดินเท้าเปล่า
  • ควรสวมถุงเท้าก่อนสวมรองเท้าเสมอ โดยเลือกถุงเท้าที่ไม่รัดแน่นเกินไป ไม่มีตะเข็บ (หากถุงเท้ามีตะเข็บให้กลับด้านในออก) และควรเปลี่ยนทุกวัน
  • สำรวจภายในรองเท้าก่อนสวมทุกครั้งว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่หรือไม่ เพื่อป้องกันการเหยียบสิ่งแปลกปลอมจนเกิดแผล
  • หากสวมรองเท้าใหม่ ควรสวมประมาณครึ่งชั่วโมงในวันแรกๆ วันต่อไปค่อยๆเพิ่มเป็นหนึ่งชั่วโมง โดยสวมสลับกับรองเท้าคู่เก่า เพื่อให้รองเท้าค่อยๆขยายปรับตัวจนเข้ากับเท้าได้ดี

การเลือกรองเท้าที่เหมาะสม

  • เลือกสวมรองเท้าที่มีขนาดพอดี เหมาะสมกับรูปเท้า ไม่หลวมหรือคับเกินไป ไม่มีหน้าแคบจนบีบหน้าเท้า
  • เนื่องจากรองเท้าเบอร์เดียวกันอาจมีขนาดแตกต่างกันไปในแต่ละยี่ห้อ และคนส่วนใหญ่มักมีขนาดเท้าสองข้างไม่เท่ากัน จึงควรลองสวมรองเท้าทั้งสองข้างและลองเดินก่อนเลือกซื้อรองเท้าเสมอ
  • ควรเลือกรองเท้าหุ้มส้นเพื่อช่วยป้องกันอันตรายที่เท้า ไม่มีตะเข็บหรือมีตะเข็บน้อยเพื่อมิให้ตะเข็บกดผิวหนัง และมีเชือกผูกหรือมีแถบ Velcro เพื่อช่วยให้สามารถปรับความพอดีกับเท้าได้มากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงรองเท้าแตะแบบคีบหรือรองเท้าแตะที่ทำด้วยหนังหรือพลาสติกแข็ง

การตัดเล็บ

  • ควรใช้กรรไกรตัดเล็บขอบตรงตัดตามแนวขอบเล็บเท่านั้นโดยให้ปลายเล็บเสมอกับปลายนิ้ว แล้วใช้ตะไบขัดเพื่อลบรอบคมและป้องกันการเกิดเล็บขบ
  • ห้าม ตัดเล็บสั้นเกินไปและลึกถึงจมูกเล็บ
  • ห้าม ตัดเนื้อเพราะอาจเกิดแผลและมีเลือดออก
  • ถ้าเล็บหนาไม่สามารถตัดเล็บเองได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลเท้าตัดเล็บให้

การออกกำลังกายเท้า

  • ควรออกกำลังกายเท้าอย่างสม่ำเสมอทุกวัน เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และกระตุ้นการไหลเวียนเลือดมาปลายเท้า โดยมีท่าบริหารดังนี้
  • กระดกข้อเท้าขึ้นลงสลับกัน
  • หมุนข้อเท้า โดยหมุนเข้าและออกสลับกัน
  • ใช้นิ้วเท้าจิกผ้าที่วางอยู่บนพื้นเพื่อบริหารกล้ามเนื้อเล็กๆในเท้า
  • นั่งบนเก้าอี้ ยกขาขึ้น เหยียดเข่าตึง และกระดกข้อเท้าขึ้นค้างไว้นับ 1 ถึง 10 นับเป็น 1 ครั้ง
  • ควรออกำลังกายอย่างน้อยวันละ 3 รอบ รอบละ 10 ครั้ง

ระดับความเสี่ยงของการเกิดแผลที่เท้าสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน

  1. ระดับความเสี่ยงต่ำ ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่ไม่มีแผลที่เท้าขณะประเมิน ไม่มีประวัติการเป็นแผลที่เท้าหรือถูกตัดขา / เท้า / นิ้วเท้า ผิวหนังและรูปเท้าผิดปกติ ผลการประเมินการรับความรู้สึกในการป้องกันตนเองที่เท้าและชีพจรปกติ
  2. ระดับความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่ตรวจพบผลการประเมินการรับความรู้สึกในการป้องกันตนเองที่เท้าผิดปกติและ/หรือ ชีพจรเท้าเบาลง หรือตรวจค่า ABI < 0.9 ควรพิจารณาอุปกรณ์เสริมในรองเท้าหรือรองเท้าที่เหมาะสมและนัดตรวจเท้าอย่างละเอียดทุก 6 เดือน
  3. ระดับความเสี่ยงสูง ได้แก่ ผู้เป็นเบาหวานที่มีประวัติมีแผลที่เท้าหรือถูกตัดขา / เท้า / นิ้วเท้า หรือมีความเสี่ยงปานกลางร่วมกับพบเท้าผิดรูป ควรพิจารณาตัดรองเท้าพิเศษ และนัดตรวจเท้าอย่างละเอียดทุก 3 เดือน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! คลินิกเบาหวาน ไทรอยด์ และต่อมไร้ท่อ ชั้น 4 โซน D


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง