Q and A รวมคำถามไขข้อสงสัยแก้ไขสายตาผิดปกติด้วย ReLEx Pro
Q&A รวมคำถามไขข้อสงสัยแก้ไขสายตาผิดปกติด้วย ReLEx Pro เทคโนโลยีรักษาสายตาผิดปกติที่ทันสมัยที่สุด
Q : ReLEx Pro กับ ReLEx smile ต่างกันอย่างไร?
A : ReLEx Pro เป็นการพัฒนาต่อจาก ReLEx smile ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาผิดปกติที่ทันสมัยที่สุด รวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย ด้วย Femtosecond Laser มีความเร็วสูงในการยิงเลเซอร์เพียง 8 -10 วินาที ในการสร้างเนื้อเยื่อในชั้นกระจกตา พร้อม Sensor ที่ช่วยกำหนดจุดกึ่งกลางในการเลเซอร์ (Centration) และติดตามเมื่อลูกตามีการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม(Cyclotorsion Alignment) ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพ และแม่นยำมากขึ้น รอยแผลมีขนาดเล็ก 2 – 4 มม. ทำให้พบอาการแทรกซ้อนได้น้อย และการมองเห็นที่ชัดเจนได้ทันทีหลังการรักษา
Q : ค่าสายตาสั้นสายตาเอียง เท่าไหร่ถึงสามารถรับการรักษา ReLEx Pro ได้?
A : ผู้ที่มีสายตาผิดปกติที่มีค่าสายตาสั้นไม่เกิน 10.00 disoter และสายตาเอียงไม่เกิน 5.0 disoter โดยมีค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี
Q : สายตาจะกลับมาสั้นไหม และหลังจากการทำสายตาจะคงที่ไปนานเท่าไหร่?
A : หลังจากได้รับการรักษาด้วยวิธี ReLEx Pro นั้นสายตามีโอกาสจะกลับมาสั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้สายตาในชีวิตประจำวันเช่น เล่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือหรือการมองใกล้ เป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน มีโอกาสที่สายตาจะกลับมาสั้นอีกครั้งได้
Q : หากสายตากลับมาสั้นอีกสามารถรักษาอีกครั้งได้หรือไม่?
A :ขึ้นอยู่กับค่าสายตา และความหนาของกระจกตาที่เหลือโดยกระจกตาต้องมีความหนามากพอที่จะสามารถแก้ค่าสายตาได้ โดยต้องได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์
Q : หลังรักษาต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
A : อย่างน้อย 2-3 วันโดยการมองเห็นจะดีขึ้นเรื่อยๆจากวันแรก และช่วง 7 วันแรกควรหยอดยา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
Q : สายตายาวตามอายุรักษาได้ไหม?
A :ในกรณีที่มีสายตาสั้นเดิม และสายตายาวตามอายุสามารถรักษาได้2 วิธี
- แก้ค่าสายตาสั้นทั้งสองข้างเพื่อช่วยให้มองเห็นระยะไกลชัดเจน และใช้แว่นสายตายาวอ่านหนังสือเพื่อช่วยในการมองใกล้ (full correction)
- แก้ค่าสายตาสั้นข้างหนึ่งให้ค่าสายตาใกล้เคียงปกติเพื่อช่วยในการมองระยะไกล และอีกข้างทำให้เหลือค่าสายตาสั้นไว้เล็กน้อยเพื่อช่วยมองใกล้ (Monovision)
ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินถึงความเหมาะสมและให้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจร่วมกันว่าจะเลือกใช้วิธีใด
Q : หากอายุเกิน50 ปีมีโอกาสที่สามารถทำการรักษาได้หรือไม่?
A : สามารถเข้ารับการรักษาได้ หากไม่มีโรคของกระจกตา เช่น โรคกระจกตาโก่ง โรคตาแห้งอย่างรุนแรง และโรคตาอย่างอื่นที่ส่งผลต่อการมองเห็น เช่น จอประสาทตาเสื่อม ต้อหินขั้นรุนแรงสายตาขี้เกียจ และที่สำคัญคือต้อกระจก ที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติตามอายุซึ่งจะส่งผลต่อค่าสายตาได้
Q : ทำไมผู้อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ไม่ควรทำการรักษาด้วยวิธี ReLEx Pro?
A : ไม่แนะนำให้เข้ารับการรักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ทุกประเภทในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากภาวะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ค่าสายตาไม่คงที่ และเปลี่ยนแปลงได้ แนะนำให้รอบเดือนมาอย่างน้อย 2 รอบติดต่อกัน จึงสามารถเข้ารับการรักษาได้
Q : หลังการรักษาต้องระมัดระวังกิจกรรมในชีวิตประจำวันประเภทใด?
A : ระวังรักษาความสะอาดไม่โดนฝุ่นหรือน้ำเข้าตาใน 7 วันแรก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากเป็นกิจกรรมดำน้ำอย่างน้อย 1 เดือน
Q : หลังการรักษาสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หรือไม่?
A : สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หลังทำมาแล้ว 1 เดือน และระมัดระวังอาการตาแห้ง ติดเชื้อ
Q : หลังทำเดินทางไปต่างประเทศหรือขึ้นเครื่องบินได้เมื่อไหร่?
A : สามารถเดินทางได้เลยหากเป็นการเดินทางระยะสั้น ควรหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆระหว่างโดยสารเครื่องบิน เนื่องจากตาจะแห้งได้ง่าย แต่เนื่องจาก 2 สัปดาห์แรกเป็นช่วงติดตามอาการหลังทำ แนะนำมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
Q : กรณีตรวจแล้วว่าทำได้ ผลการตรวจHIVสามารถเอาจากที่อื่นมาได้หรือไม่?
A : สามารถนำผลตรวจ HIV ที่ตรวจโดย Lab ที่ได้มาตรฐาน และมีผล official report ภายใน 1 เดือน
Q : ช่วงระหว่างรอรักษา สามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ก่อนได้หรือไม่?
A : สามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ได้ และงดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มก่อนถึงวันรักษาอย่างน้อย 1สัปดาห์ และงดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง 14 วัน
ข้อมูลจาก : พญ. บัณฑิตา เลิศสุวรรณโรจน์
สอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์รักษาสายตาผิดปกติ “The SiGHT by SiPH” ศูนย์ตา ชั้น 4 โซน A
Q : ReLEx Pro กับ ReLEx smile ต่างกันอย่างไร?
A : ReLEx Pro เป็นการพัฒนาต่อจาก ReLEx smile ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรักษาสายตาผิดปกติที่ทันสมัยที่สุด รวดเร็ว แม่นยำ ปลอดภัย ด้วย Femtosecond Laser มีความเร็วสูงในการยิงเลเซอร์เพียง 8 -10 วินาที ในการสร้างเนื้อเยื่อในชั้นกระจกตา พร้อม Sensor ที่ช่วยกำหนดจุดกึ่งกลางในการเลเซอร์ (Centration) และติดตามเมื่อลูกตามีการคลาดเคลื่อนจากตำแหน่งเดิม(Cyclotorsion Alignment) ส่งผลให้การรักษามีประสิทธิภาพ และแม่นยำมากขึ้น รอยแผลมีขนาดเล็ก 2 – 4 มม. ทำให้พบอาการแทรกซ้อนได้น้อย และการมองเห็นที่ชัดเจนได้ทันทีหลังการรักษา
Q : ค่าสายตาสั้นสายตาเอียง เท่าไหร่ถึงสามารถรับการรักษา ReLEx Pro ได้?
A : ผู้ที่มีสายตาผิดปกติที่มีค่าสายตาสั้นไม่เกิน 10.00 disoter และสายตาเอียงไม่เกิน 5.0 disoter โดยมีค่าสายตาคงที่อย่างน้อย 1 ปี
Q : สายตาจะกลับมาสั้นไหม และหลังจากการทำสายตาจะคงที่ไปนานเท่าไหร่?
A : หลังจากได้รับการรักษาด้วยวิธี ReLEx Pro นั้นสายตามีโอกาสจะกลับมาสั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้สายตาในชีวิตประจำวันเช่น เล่นโทรศัพท์ คอมพิวเตอร์ อ่านหนังสือหรือการมองใกล้ เป็นเวลานานหลายชั่วโมงติดต่อกัน มีโอกาสที่สายตาจะกลับมาสั้นอีกครั้งได้
Q : หากสายตากลับมาสั้นอีกสามารถรักษาอีกครั้งได้หรือไม่?
A :ขึ้นอยู่กับค่าสายตา และความหนาของกระจกตาที่เหลือโดยกระจกตาต้องมีความหนามากพอที่จะสามารถแก้ค่าสายตาได้ โดยต้องได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์
Q : หลังรักษาต้องพักฟื้นนานแค่ไหน?
A : อย่างน้อย 2-3 วันโดยการมองเห็นจะดีขึ้นเรื่อยๆจากวันแรก และช่วง 7 วันแรกควรหยอดยา และปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
Q : สายตายาวตามอายุรักษาได้ไหม?
A :ในกรณีที่มีสายตาสั้นเดิม และสายตายาวตามอายุสามารถรักษาได้2 วิธี
- แก้ค่าสายตาสั้นทั้งสองข้างเพื่อช่วยให้มองเห็นระยะไกลชัดเจน และใช้แว่นสายตายาวอ่านหนังสือเพื่อช่วยในการมองใกล้ (full correction)
- แก้ค่าสายตาสั้นข้างหนึ่งให้ค่าสายตาใกล้เคียงปกติเพื่อช่วยในการมองระยะไกล และอีกข้างทำให้เหลือค่าสายตาสั้นไว้เล็กน้อยเพื่อช่วยมองใกล้ (Monovision)
ทั้งนี้ แพทย์จะเป็นผู้ประเมินถึงความเหมาะสมและให้ข้อมูลเพื่อตัดสินใจร่วมกันว่าจะเลือกใช้วิธีใด
Q : หากอายุเกิน50 ปีมีโอกาสที่สามารถทำการรักษาได้หรือไม่?
A : สามารถเข้ารับการรักษาได้ หากไม่มีโรคของกระจกตา เช่น โรคกระจกตาโก่ง โรคตาแห้งอย่างรุนแรง และโรคตาอย่างอื่นที่ส่งผลต่อการมองเห็น เช่น จอประสาทตาเสื่อม ต้อหินขั้นรุนแรงสายตาขี้เกียจ และที่สำคัญคือต้อกระจก ที่จะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติตามอายุซึ่งจะส่งผลต่อค่าสายตาได้
Q : ทำไมผู้อยู่ระหว่างตั้งครรภ์ หรือให้นมบุตร ไม่ควรทำการรักษาด้วยวิธี ReLEx Pro?
A : ไม่แนะนำให้เข้ารับการรักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ทุกประเภทในระหว่างตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร เนื่องจากภาวะฮอร์โมนมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้ค่าสายตาไม่คงที่ และเปลี่ยนแปลงได้ แนะนำให้รอบเดือนมาอย่างน้อย 2 รอบติดต่อกัน จึงสามารถเข้ารับการรักษาได้
Q : หลังการรักษาต้องระมัดระวังกิจกรรมในชีวิตประจำวันประเภทใด?
A : ระวังรักษาความสะอาดไม่โดนฝุ่นหรือน้ำเข้าตาใน 7 วันแรก เนื่องจากมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ หากเป็นกิจกรรมดำน้ำอย่างน้อย 1 เดือน
Q : หลังการรักษาสามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หรือไม่?
A : สามารถใส่คอนแทคเลนส์ได้หลังทำมาแล้ว 1 เดือน และระมัดระวังอาการตาแห้ง ติดเชื้อ
Q : หลังทำเดินทางไปต่างประเทศหรือขึ้นเครื่องบินได้เมื่อไหร่?
A : สามารถเดินทางได้เลยหากเป็นการเดินทางระยะสั้น ควรหยอดน้ำตาเทียมบ่อยๆระหว่างโดยสารเครื่องบิน เนื่องจากตาจะแห้งได้ง่าย แต่เนื่องจาก 2 สัปดาห์แรกเป็นช่วงติดตามอาการหลังทำ แนะนำมาพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง
Q : กรณีตรวจแล้วว่าทำได้ ผลการตรวจHIVสามารถเอาจากที่อื่นมาได้หรือไม่?
A : สามารถนำผลตรวจ HIV ที่ตรวจโดย Lab ที่ได้มาตรฐาน และมีผล official report ภายใน 1 เดือน
Q : ช่วงระหว่างรอรักษา สามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ก่อนได้หรือไม่?
A : สามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ได้ และงดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนิ่มก่อนถึงวันรักษาอย่างน้อย 1สัปดาห์ และงดใส่คอนแทคเลนส์ชนิดแข็ง 14 วัน
ข้อมูลจาก : พญ. บัณฑิตา เลิศสุวรรณโรจน์
สอบถามข้อมูลได้ที่ ศูนย์รักษาสายตาผิดปกติ “The SiGHT by SiPH” ศูนย์ตา ชั้น 4 โซน A