ปวดตับ อาการนี้มีจริงหรือ?

     ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นโรงงานผลิตพลังงาน และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมทั้งยังเป็นอวัยวะสำคัญในการเผาผลาญของเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายด้วย แล้วทำการขับออกมาทางน้ำดีลงสู่ลำไส้ปนไปกับอุจจาระ ดังนั้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส การบริโภคแอลกอฮอล์ การรับประทานสมุนไพรหรืออาหารเสริมต่างๆ แล้วมีเหลือตกค้างในร่างกาย สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อการทำงานของตับ และก่อให้เกิดความผิดปกติภายในตับ เช่น ภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมีการอักเสบบวมของเนื้อตับ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตับ จุกตึงใต้ชายโครงขวา ร่วมกับมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเกิดดีซ่านขึ้นได้

     ปวดตับ ยังอาจเกิดจากมะเร็งตับ ซึ่งเกิดจากเนื้อตับบางส่วนมีการเจริญเติบโตผิดปกติ กลายเป็นก้อนเนื้องอกดันผิวตับให้โป่งนูน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดจุกแน่นในบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่  ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรังแฝงอยู่โดยอาจไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ มาก่อน หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ได้แก่ อ่อนเพลียและหมดแรงง่าย  บางรายมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรืออาเจียนเป็นเลือดสด ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร อันเป็นผลจากภาวะตับแข็งที่มักพบร่วมด้วยในผู้ป่วยที่เกิดมะเร็งตับ

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์

     เรามีสัญญาณอันตรายที่เตือนว่า ตับของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว คือ

     1. อาการปวดจุก หรือแน่นชายโครงขวา ซึ่งเป็นที่อยู่ของตับ อาจเพราะมีการอักเสบของเนื้อตับ หรือเกิดจากก้อนเนื้องอกภายในเนื้อตับ

     2. ดีซ่าน คือ ภาวะที่มีการคั่งของเม็ดสีน้ำดี เนื่องจากตับป่วยไม่สามารถขับเม็ดสีน้ำดีได้ตามปกติ จึงเกิดการสะสมในร่างกาย ทำให้ผิวหนังและเยื่อตาขาวเปลี่ยนมีสีเหลือง ซึ่งน้ำดีที่คั่งในร่างกาย ส่วนหนึ่งจะถูกขับออกทางไต ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มถดถอย

     3. อ่อนเพลีย หมดแรงง่าย อาจเกิดจากภาวะตับอักเสบ ซึ่งควรได้รับการตรวจเลือดยืนยันและหาสาเหตุต่อไป โดยอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ การดื่มสุราจนทำให้เกิดโรคตับเรื้อรัง โรคอ้วนจนมีไขมันคั่งในเนื้อตับปริมาณมาก และการรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีสารเหล่านี้ตกค้าง จนทำให้เกิดตับอักเสบ ผลิตพลังงาน และสารที่จำเป็นต่อร่างกายได้ลดลง

     4. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มเสื่อมลง ทำให้ร่างกายต้องดึงพลังงานสำรองจากที่ต่างๆ มาเผาพลาญ ร่างกายซูบผอม มีน้ำหนักตัวลดลง

ดังนั้นถ้าเราสังเกตตัวเองว่ามีสัญญาณเตือนความผิดปกติดังกล่าว อาจบ่งบอกว่าสุขภาพตับเริ่มไม่แข็งแรง  มีโรคภัยซ้อนเร้นอยู่ จึงควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมว่า สมรรถภาพการทำงานของตับและสาเหตุของความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร

     แต่สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ห่างไกลจากโรคที่ทำให้ “ปวดตับ” เราควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยรับประทานอาหารที่สะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนักและลดพุง  ไม่รับประทานสารอาหาร ยา หรือสมุนไพรใดๆ เสริมโดยไม่จำเป็น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A

     ตับ เป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่เสมือนเป็นโรงงานผลิตพลังงาน และสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย รวมทั้งยังเป็นอวัยวะสำคัญในการเผาผลาญของเสียต่างๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายด้วย แล้วทำการขับออกมาทางน้ำดีลงสู่ลำไส้ปนไปกับอุจจาระ ดังนั้นเมื่อมีสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือไวรัส การบริโภคแอลกอฮอล์ การรับประทานสมุนไพรหรืออาหารเสริมต่างๆ แล้วมีเหลือตกค้างในร่างกาย สิ่งเหล่านี้อาจส่งผลต่อการทำงานของตับ และก่อให้เกิดความผิดปกติภายในตับ เช่น ภาวะตับอักเสบเฉียบพลัน ซึ่งมีการอักเสบบวมของเนื้อตับ ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตับ จุกตึงใต้ชายโครงขวา ร่วมกับมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และเกิดดีซ่านขึ้นได้

     ปวดตับ ยังอาจเกิดจากมะเร็งตับ ซึ่งเกิดจากเนื้อตับบางส่วนมีการเจริญเติบโตผิดปกติ กลายเป็นก้อนเนื้องอกดันผิวตับให้โป่งนูน ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดจุกแน่นในบริเวณใต้ชายโครงขวาหรือลิ้นปี่  ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีโรคตับอักเสบเรื้อรังแฝงอยู่โดยอาจไม่มีสัญญาณเตือนใดๆ มาก่อน หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย ได้แก่ อ่อนเพลียและหมดแรงง่าย  บางรายมีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรืออาเจียนเป็นเลือดสด ซึ่งเกิดจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารหรือกระเพาะอาหาร อันเป็นผลจากภาวะตับแข็งที่มักพบร่วมด้วยในผู้ป่วยที่เกิดมะเร็งตับ

แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เมื่อไรควรไปพบแพทย์

     เรามีสัญญาณอันตรายที่เตือนว่า ตับของคุณเริ่มมีปัญหาแล้ว คือ

     1. อาการปวดจุก หรือแน่นชายโครงขวา ซึ่งเป็นที่อยู่ของตับ อาจเพราะมีการอักเสบของเนื้อตับ หรือเกิดจากก้อนเนื้องอกภายในเนื้อตับ

     2. ดีซ่าน คือ ภาวะที่มีการคั่งของเม็ดสีน้ำดี เนื่องจากตับป่วยไม่สามารถขับเม็ดสีน้ำดีได้ตามปกติ จึงเกิดการสะสมในร่างกาย ทำให้ผิวหนังและเยื่อตาขาวเปลี่ยนมีสีเหลือง ซึ่งน้ำดีที่คั่งในร่างกาย ส่วนหนึ่งจะถูกขับออกทางไต ทำให้ปัสสาวะมีสีเหลืองเข้ม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มถดถอย

     3. อ่อนเพลีย หมดแรงง่าย อาจเกิดจากภาวะตับอักเสบ ซึ่งควรได้รับการตรวจเลือดยืนยันและหาสาเหตุต่อไป โดยอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดต่างๆ การดื่มสุราจนทำให้เกิดโรคตับเรื้อรัง โรคอ้วนจนมีไขมันคั่งในเนื้อตับปริมาณมาก และการรับประทานยา อาหารเสริม หรือสมุนไพรบางชนิด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีสารเหล่านี้ตกค้าง จนทำให้เกิดตับอักเสบ ผลิตพลังงาน และสารที่จำเป็นต่อร่างกายได้ลดลง

     4. เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ซึ่งอาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า สมรรถภาพการทำงานของตับเริ่มเสื่อมลง ทำให้ร่างกายต้องดึงพลังงานสำรองจากที่ต่างๆ มาเผาพลาญ ร่างกายซูบผอม มีน้ำหนักตัวลดลง

ดังนั้นถ้าเราสังเกตตัวเองว่ามีสัญญาณเตือนความผิดปกติดังกล่าว อาจบ่งบอกว่าสุขภาพตับเริ่มไม่แข็งแรง  มีโรคภัยซ้อนเร้นอยู่ จึงควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมว่า สมรรถภาพการทำงานของตับและสาเหตุของความผิดปกตินั้นเกิดจากอะไร

     แต่สิ่งสำคัญที่สุดเพื่อให้ห่างไกลจากโรคที่ทำให้ “ปวดตับ” เราควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดยรับประทานอาหารที่สะอาดและมีคุณค่าทางโภชนาการในปริมาณที่เหมาะสม ร่วมกับออกกำลังกาย เพื่อควบคุมน้ำหนักและลดพุง  ไม่รับประทานสารอาหาร ยา หรือสมุนไพรใดๆ เสริมโดยไม่จำเป็น

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง