หยุดโรคไขมันพอกตับแค่เลือกกิน
ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอยู่ในชีวิตประจำวันของประชากรทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พบคนไทยเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินอยู่ที่ไม่เหมาะสมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในโรคกลุ่มนี้ คือ โรคตับคั่งไขมัน หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า โรคไขมันพอกตับ
โรคตับคั่งไขมันเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1. โรคอ้วนลงพุง
2. การดื่มสุราเรื้อรัง
3. การรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะฮอร์โมนและสเตรียรอยด์ เป็นต้น
ในที่นี้กล่าวถึงโรคตับคั่งไขมันที่เกิดขึ้นจากภาวะอ้วนลงพุงซึ่งพบบ่อยมากในสังคมไทยยุคปัจจุบัน เกิดจากการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปคล้ายชาวตะวันตกกันมากขึ้น เช่น การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง จำพวกคาร์โบไฮเดรต และไขมัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงผิดปกติ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนในที่สุด ซึ่งกลุ่มอาการดังกล่าวรวมเรียกว่า อ้วนลงพุง หรือกลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome)
นอกจากนี้การมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขาดการออกกำลังกาย ก็เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคอ้วน นำไปสู่การสะสมของสารอาหารต่างๆ ในรูปไขมันภายในเนื้อตับที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบภายในเนื้อตับอย่างเรื้อรัง อาจทำให้เกิดภาวะตับแข็งและอาจเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ของภาวะตับแข็งรวมทั้งมะเร็งตับในที่สุด
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคตับคั่งไขมัน?
โรคนี้มักพบในผู้ป่วยอ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผู้ที่ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงจะเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคตับชนิดนี้ ในกรณีที่สงสัยแพทย์จะทำการตรวจภาพรังสีวินิจฉัยของช่องท้องด้านบนเบื้องต้นด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ว่ามีลักษณะบ่งชี้ถึงภาวะไขมันที่คั่งในตับมากกว่าปกติหรือไม่ โดยผู้ป่วยโรคตับชนิดนี้ส่วนใหญ่มักตรวจเลือดไม่พบการอักเสบของตับและไม่มีอาการแสดงของโรค โรคนี้ถือเป็นภัยเงียบที่ไม่มีสัญญาณเตือน หากปล่อยไว้ก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เนื่องจากมักพบว่าผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงและหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่พบร่วมได้บ่อยในผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมัน
การรักษาและการป้องกันโรคตับคั่งไขมัน
สิ่งสำคัญของการรักษาโรคตับคั่งไขมัน คือ การลดน้ำหนัก และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารอาหารทีมีไขมันสูง เช่น นม เนย กะทิ ชีส กุ้ง ปูไข่ ไข่แดง หลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารลงในแต่ละมื้อ ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีการงดอาหาร หรือรับประทานผลไม้แทนมื้ออาหาร เนื่องจากมักพบว่าการรับประทานผลไม้มากเกินไปจะทำให้มีการสะสมน้ำตาลจากผลไม้เป็นไขมันในเนื้อตับในที่สุด ส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ในกรณีที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือดสูงควบคุมอาหารหรือใช้ยาเพื่อทำให้ผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น ตลอดจนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ และงดดื่มสุรา ซึ่งหากเรารู้จักดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แล้ว ก็ไม่ยากที่จะหลีกเลี่ยงจากโรคชนิดนี้ได้ และหากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งมีความเสี่ยงหรือเป็นโรคตับคั่งไขมัน ก็ควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อสุขภาพและพลานามัยที่สมบูรณ์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A
ปัจจุบันพฤติกรรมการกินอยู่ในชีวิตประจำวันของประชากรทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พบคนไทยเจ็บป่วยด้วยโรคที่เกิดจากพฤติกรรมการกินอยู่ที่ไม่เหมาะสมเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหนึ่งในโรคกลุ่มนี้ คือ โรคตับคั่งไขมัน หรือที่เรียกกันจนติดปากว่า โรคไขมันพอกตับ
โรคตับคั่งไขมันเกิดจากหลายสาเหตุ ได้แก่
1. โรคอ้วนลงพุง
2. การดื่มสุราเรื้อรัง
3. การรับประทานยาบางชนิดเป็นเวลานาน โดยเฉพาะฮอร์โมนและสเตรียรอยด์ เป็นต้น
ในที่นี้กล่าวถึงโรคตับคั่งไขมันที่เกิดขึ้นจากภาวะอ้วนลงพุงซึ่งพบบ่อยมากในสังคมไทยยุคปัจจุบัน เกิดจากการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปคล้ายชาวตะวันตกกันมากขึ้น เช่น การรับประทานอาหารที่มีแคลอรีสูง จำพวกคาร์โบไฮเดรต และไขมัน ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูงผิดปกติ ความดันโลหิตสูง และโรคอ้วนในที่สุด ซึ่งกลุ่มอาการดังกล่าวรวมเรียกว่า อ้วนลงพุง หรือกลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome)
นอกจากนี้การมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ขาดการออกกำลังกาย ก็เป็นปัจจัยส่งเสริมให้เกิดโรคอ้วน นำไปสู่การสะสมของสารอาหารต่างๆ ในรูปไขมันภายในเนื้อตับที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดการอักเสบภายในเนื้อตับอย่างเรื้อรัง อาจทำให้เกิดภาวะตับแข็งและอาจเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ ของภาวะตับแข็งรวมทั้งมะเร็งตับในที่สุด
รู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคตับคั่งไขมัน?
โรคนี้มักพบในผู้ป่วยอ้วนลงพุง น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผู้ที่ตรวจพบโรคเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง และความดันโลหิตสูงจะเป็นกลุ่มเสี่ยงต่อโรคตับชนิดนี้ ในกรณีที่สงสัยแพทย์จะทำการตรวจภาพรังสีวินิจฉัยของช่องท้องด้านบนเบื้องต้นด้วยการตรวจอัลตราซาวนด์ว่ามีลักษณะบ่งชี้ถึงภาวะไขมันที่คั่งในตับมากกว่าปกติหรือไม่ โดยผู้ป่วยโรคตับชนิดนี้ส่วนใหญ่มักตรวจเลือดไม่พบการอักเสบของตับและไม่มีอาการแสดงของโรค โรคนี้ถือเป็นภัยเงียบที่ไม่มีสัญญาณเตือน หากปล่อยไว้ก็จะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เนื่องจากมักพบว่าผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมัน มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดแดงและหัวใจ ซึ่งเป็นสาเหตุการตายที่พบร่วมได้บ่อยในผู้ป่วยโรคตับคั่งไขมัน
การรักษาและการป้องกันโรคตับคั่งไขมัน
สิ่งสำคัญของการรักษาโรคตับคั่งไขมัน คือ การลดน้ำหนัก และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารอาหารทีมีไขมันสูง เช่น นม เนย กะทิ ชีส กุ้ง ปูไข่ ไข่แดง หลีกเลี่ยงไม่รับประทานอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารลงในแต่ละมื้อ ไม่ควรลดน้ำหนักด้วยวิธีการงดอาหาร หรือรับประทานผลไม้แทนมื้ออาหาร เนื่องจากมักพบว่าการรับประทานผลไม้มากเกินไปจะทำให้มีการสะสมน้ำตาลจากผลไม้เป็นไขมันในเนื้อตับในที่สุด ส่งผลทำให้เกิดตับอักเสบเรื้อรัง รวมทั้งทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ไม่ดี ในกรณีที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือดสูงควบคุมอาหารหรือใช้ยาเพื่อทำให้ผลเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติ
นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานยาที่ไม่จำเป็น ตลอดจนผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อาจมีผลข้างเคียงต่อตับ และงดดื่มสุรา ซึ่งหากเรารู้จักดูแลสุขภาพ หลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ แล้ว ก็ไม่ยากที่จะหลีกเลี่ยงจากโรคชนิดนี้ได้ และหากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งมีความเสี่ยงหรือเป็นโรคตับคั่งไขมัน ก็ควรปฏิบัติตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อสุขภาพและพลานามัยที่สมบูรณ์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินอาหารและตับ ชั้น 4 โซน A