
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยไฟฟ้าคลื่นความถี่สูงผ่านสายสวน
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยไฟฟ้าคลื่นความถี่สูงผ่านสายสวน (Radiofrequency catheter ablation of cardiac arrhythmias) หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย มีหน้าที่สูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงร่างกาย ประมาณ 5 ลิตร/นาที หัวใจห้องบนมีจุดกำเนิดไฟฟ้าหัวใจที่เรียกว่า "SA-node" ซึ่งจะทำให้เกิดการหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าขึ้นในหัวใจห้องบน และส่งกระแสไฟฟ้าคลื่อนไปยัง "AV-node" โดยผ่านเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจชนิดพิเศษ แล้วแผ่ขยายกระแสไฟฟ้าไปทั่วหัวใจห้องล่าง ทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างสมบูรณ์ ในขณะพักคนปกติจะมีอัตรการเต้นของหัวใจ หรือที่เรียกว่า "ชีพจร" ประมาณ 60-100 ครั้ง/นาที
หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องบน Supraventricular Tachycardia (SVT) เกิดจากการมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าหัวใจเพิ่มขึ้นจากปกติ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรและไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ
2. จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องล่าง Ventricular Tachycardia (VT) เกิดจากการมีจุดเนิดที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นในหัวใจห้องล่าง
อาการของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
1. อาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมีอาการเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาสั้น ๆ อาการที่พบ ได้แก่ มึนงง ใจสั่น รู้สึกหัวใจเต้นเร็วและแรง จุกที่คอ หวิว ๆ เพียงไม่กี่นาทีแล้วหายไปได้เอง
2. อาการรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะนานหลายนาที หรือหลายชั่วโมง อาการที่พบได้แก่ หน้ามืด เป็นลม หมดสติ หัวใจวาย หรือเสียชีวิตทันที
แนวทางการรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ
1. การรับประทานยา ใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซึ่งยาสามารถควบคุมอาการของผู้ป่วยได้
2. การผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดี และสามารถรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะบางประเภทให้หายขาดได้ แต่เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่โดยต้องเปิดหัวใจและใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม หลังผ่าตัดผู้ป่วยจำเป็นต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลและอยู่ในความดูแลของแพทย์์
3. การศึกษาสรีรวิทยไฟฟ้าของหัวใจ (EPS) และการรักษาด้วยไฟฟ้ความถี่สูงผ่านสายสวน
การศึกษาสรีรวิทยาไฟฟ้าของหัวใจ (Electrophysiology Study: EPS) เป็นการศึกษาการทำงานของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อวินิจฉัยหาสาหตุหรือจุดกำเนิดของหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ
การรักษาด้วยไฟฟ้าความถี่สูงผ่านสายสวน (Radiofrequency Catheter Ablation: RFCA) เป็นการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยแพทย์จะใช้สายสวนชนิดพิเศษใส่ไปในตำแหน่งที่มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ และใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่สูงเท่ากับคลื่นวิทยุจี้ยังตำแหน่งที่มีความผิดปกติ ขณะทำการรักษาผู้ป่วยจะได้รับยาระงับความรู้สึกหรือยาระงับประสาท เพื่อให้ผู้ป่วยนิ่งตลอดระยะเวลาในการรักษา ซึ่งจะช่วยลดอาการกลัวและเจ็บขณะทำหัตถการ โดยใช้เวลาประมาณ 1-4 ชั่วโมง การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวแพทย์จะทำต่อเนื่องจากการตรวจสรีรไฟฟ้าหัวใจ ภายหลังที่ทราบตำแหน่งของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การเตรียมตัวก่อนทำการตรวจรักษา
1. ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเลือด เช่น ตรวจไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี ตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการตรวจอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย และดุลยพินิจของแพทย์
2. การทำหัตถการผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้งดรับประทานยาต้านการเต้นของหัวใจผิดจังหวะอย่างน้อย 3 วัน หรืออยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ และให้นำยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำมาด้วยในวันทำหัตถการ
3. ก่อนทำการรักษาผู้ป่วยต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
4. ผู้ป่วยควรนำญาติมาด้วยเพื่อร่วมตัดสินใจในการรักษาของแพทย์
5. ผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมผิวหนังบริเวณขาหนีบทั้ง 2 ข้าง หรือคอด้านขวา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แพทย์จะไส่สายสวน
6. ผู้ป่วยจะได้รับการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ บางรายจะได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะด้วย
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
1. หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะหรือหัวใจเต้นช้าผิดจังหวะขณะทำการรักษา
2. มีเลือดออกในเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งอาจเกิดจากการจี้ทะลุผนังหัวใจ
3. มีเลือดออก และมีก้อนเลือดใต้ผิวหนังบริเวณที่ไส่สายสวน
4. มีอาการคลื่นไส้อาเจียนภายหลังได้รับยาระงับความรู้สึก หรือยาระงับประสาท
5. อาการปวดหลังจากกรนอนทำหัตถการเป็นเวลานาน
6. หัวใจเต้นช้าและอาจต้องได้รับการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
7. ลิ่มเลือดอุดตัน ในกรณีที่ทำการไฟฟ้าหัวใจบริเวณข้างซ้ายของหัวใจ
หมายเหตุ ในกรณีทั่วไปโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนชนิดรุนแรง ไม่เกินร้อยละ 1
การปฏิบัติตัวขณะพักอยู่ในหอผู้ป่วย
1. ผู้ป่วยจะได้รับการติดตามดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจและสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
2. หลังทำการรักษาเสร็จเรียบร้อยผู้ป่วยต้องนอนราบ ห้ามงอขาข้างที่ทำอย่างน้อย 4 - 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการมีเลือดออกและมีก้อนเลือดได้ผิวหนัง
3. หากไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร และน้ำไต้ทันทีที่มาถึงหอผู้ปวยพักฟื้น เฉพาะทางโรคหัวใจ ชี.ซี.ยู. (CCU) หรือหอผู้ป่วย ไอ.ชี.ยู. (ICU)
4. หากผู้ป่วยมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ เวียนศีรษะ มีไข้ และรู้สึกอุ่น ๆ ชื้น ๆ หรือพบว่ามีเลือดออก หรือมีก้อนเลือตใต้ผิวหนังบริเวณแผลขาหนีบ ควรแจ้งให้แพทย์พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ทราบทันที
5. วันรุ่งขึ้นแพทย์จะมาเยี่ยมอาการ และทำแผลบริเวณขาหนีบข้างที่ทำเพื่อดูอาการผิดปกติ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
การปฏิบัติตัวภายหลังการรักษาเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
1. สามารถอาบน้ำได้ โดยก่อนกลับบ้านผู้ป่วยจะได้รับการทำแผลและปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ สังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง ร้อน กดเจ็บ มีหนอง หรือน้ำเหลืองออกจากแผล หากมีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์ทันที
2. สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ในระยะ 2 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่จะทำให้เส้นเลือดที่ขาหนีบพับงอ และถูกกดมาก ๆ เช่น การนั่งยอง ๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ การนั่งเก้าอี้เป็นเวลานาน ๆ ให้สลับด้วยการยืนหรือเดิน ไม่ควรขับรถ หรือออกกำลังกายหักโหม ห้ามยกของหนัก
3. ในรายที่ทำการรักษาสำเร็จ ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาต่อ แพทย์จะนัดมาดูอาการหลังการรักษาประมาณ 1 - 2 เดือน
4. ในระยะ 2 เดือนแรกผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกหมือนมีอะไรมากระตุ้นที่หัวใจ และรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาที อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายต่าง ๆ ได้ตามปกติ แต่หากผู้ป่วยรู้สึกว่ามีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเหมือนก่อนทำการรักษา ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในช่วงที่มีอาการทันที และนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาในภายหลัง
5. หลีกเสี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น
- สูบบุหรี่
- ดื่มเครื่องดื่มประเภท Alcohol ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
- ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด เพราะความเครียดจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและทำงานหนักขึ้น
- การอยู่ในที่ชุมชนหนาแน่น แออัด เพราะอากาศถ่ายเทไม่สะดวกทำให้หายใจลำบากได้
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ผู้ป่วยทำการรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะด้วยคลื่นความถี่สูงผ่านสายสวน โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำมีประมาณร้อยละ 2 - 10
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หัวใจ ชั้น 4 โซน C
การรักษาโรคหัวใจเต้นผิดจังหวะด้วยไฟฟ้าคลื่นความถี่สูงผ่านสายสวน (Radiofrequency catheter ablation of cardiac arrhythmias) หัวใจเป็นอวัยวะที่สำคัญของร่างกาย มีหน้าที่สูบฉีดเลือดออกไปเลี้ยงร่างกาย ประมาณ 5 ลิตร/นาที หัวใจห้องบนมีจุดกำเนิดไฟฟ้าหัวใจที่เรียกว่า "SA-node" ซึ่งจะทำให้เกิดการหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าขึ้นในหัวใจห้องบน และส่งกระแสไฟฟ้าคลื่อนไปยัง "AV-node" โดยผ่านเซลล์กล้ามเนื้อหัวใจชนิดพิเศษ แล้วแผ่ขยายกระแสไฟฟ้าไปทั่วหัวใจห้องล่าง ทำให้เกิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจอย่างสมบูรณ์ ในขณะพักคนปกติจะมีอัตรการเต้นของหัวใจ หรือที่เรียกว่า "ชีพจร" ประมาณ 60-100 ครั้ง/นาที
หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
1. จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องบน Supraventricular Tachycardia (SVT) เกิดจากการมีทางเดินของกระแสไฟฟ้าหัวใจเพิ่มขึ้นจากปกติ ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าลัดวงจรและไปกระตุ้นให้หัวใจเต้นเร็วเพิ่มขึ้นจากภาวะปกติ
2. จุดกำเนิดหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะที่หัวใจห้องล่าง Ventricular Tachycardia (VT) เกิดจากการมีจุดเนิดที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นในหัวใจห้องล่าง
อาการของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ
1. อาการไม่รุนแรง ผู้ป่วยมีอาการเกิดขึ้นเป็นครั้งคราวในช่วงเวลาสั้น ๆ อาการที่พบ ได้แก่ มึนงง ใจสั่น รู้สึกหัวใจเต้นเร็วและแรง จุกที่คอ หวิว ๆ เพียงไม่กี่นาทีแล้วหายไปได้เอง
2. อาการรุนแรง ผู้ป่วยมีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะนานหลายนาที หรือหลายชั่วโมง อาการที่พบได้แก่ หน้ามืด เป็นลม หมดสติ หัวใจวาย หรือเสียชีวิตทันที
แนวทางการรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ
1. การรับประทานยา ใช้รักษาในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซึ่งยาสามารถควบคุมอาการของผู้ป่วยได้
2. การผ่าตัด เป็นวิธีการรักษาที่ได้ผลดี และสามารถรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะบางประเภทให้หายขาดได้ แต่เนื่องจากเป็นการผ่าตัดใหญ่โดยต้องเปิดหัวใจและใช้เครื่องปอดหัวใจเทียม หลังผ่าตัดผู้ป่วยจำเป็นต้องพักฟื้นที่โรงพยาบาลและอยู่ในความดูแลของแพทย์์
3. การศึกษาสรีรวิทยไฟฟ้าของหัวใจ (EPS) และการรักษาด้วยไฟฟ้ความถี่สูงผ่านสายสวน
การศึกษาสรีรวิทยาไฟฟ้าของหัวใจ (Electrophysiology Study: EPS) เป็นการศึกษาการทำงานของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เพื่อวินิจฉัยหาสาหตุหรือจุดกำเนิดของหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะ
การรักษาด้วยไฟฟ้าความถี่สูงผ่านสายสวน (Radiofrequency Catheter Ablation: RFCA) เป็นการรักษาภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะโดยแพทย์จะใช้สายสวนชนิดพิเศษใส่ไปในตำแหน่งที่มีการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ และใช้กระแสไฟฟ้าที่มีความถี่สูงเท่ากับคลื่นวิทยุจี้ยังตำแหน่งที่มีความผิดปกติ ขณะทำการรักษาผู้ป่วยจะได้รับยาระงับความรู้สึกหรือยาระงับประสาท เพื่อให้ผู้ป่วยนิ่งตลอดระยะเวลาในการรักษา ซึ่งจะช่วยลดอาการกลัวและเจ็บขณะทำหัตถการ โดยใช้เวลาประมาณ 1-4 ชั่วโมง การรักษาด้วยวิธีดังกล่าวแพทย์จะทำต่อเนื่องจากการตรวจสรีรไฟฟ้าหัวใจ ภายหลังที่ทราบตำแหน่งของเนื้อเยื่อที่เป็นสาเหตุของภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ
การเตรียมตัวก่อนทำการตรวจรักษา
1. ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจเลือด เช่น ตรวจไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี ตรวจเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) เอกซเรย์ปอด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการตรวจอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วย และดุลยพินิจของแพทย์
2. การทำหัตถการผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้งดรับประทานยาต้านการเต้นของหัวใจผิดจังหวะอย่างน้อย 3 วัน หรืออยู่ในดุลยพินิจของแพทย์ และให้นำยาที่รับประทานอยู่เป็นประจำมาด้วยในวันทำหัตถการ
3. ก่อนทำการรักษาผู้ป่วยต้องงดน้ำและอาหารอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
4. ผู้ป่วยควรนำญาติมาด้วยเพื่อร่วมตัดสินใจในการรักษาของแพทย์
5. ผู้ป่วยจะได้รับการเตรียมผิวหนังบริเวณขาหนีบทั้ง 2 ข้าง หรือคอด้านขวา ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่แพทย์จะไส่สายสวน
6. ผู้ป่วยจะได้รับการให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ บางรายจะได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะด้วย
ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้
1. หัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะหรือหัวใจเต้นช้าผิดจังหวะขณะทำการรักษา
2. มีเลือดออกในเยื่อหุ้มหัวใจ ซึ่งอาจเกิดจากการจี้ทะลุผนังหัวใจ
3. มีเลือดออก และมีก้อนเลือดใต้ผิวหนังบริเวณที่ไส่สายสวน
4. มีอาการคลื่นไส้อาเจียนภายหลังได้รับยาระงับความรู้สึก หรือยาระงับประสาท
5. อาการปวดหลังจากกรนอนทำหัตถการเป็นเวลานาน
6. หัวใจเต้นช้าและอาจต้องได้รับการใส่เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ
7. ลิ่มเลือดอุดตัน ในกรณีที่ทำการไฟฟ้าหัวใจบริเวณข้างซ้ายของหัวใจ
หมายเหตุ ในกรณีทั่วไปโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนชนิดรุนแรง ไม่เกินร้อยละ 1
การปฏิบัติตัวขณะพักอยู่ในหอผู้ป่วย
1. ผู้ป่วยจะได้รับการติดตามดูคลื่นไฟฟ้าหัวใจและสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง
2. หลังทำการรักษาเสร็จเรียบร้อยผู้ป่วยต้องนอนราบ ห้ามงอขาข้างที่ทำอย่างน้อย 4 - 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการมีเลือดออกและมีก้อนเลือดได้ผิวหนัง
3. หากไม่มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผู้ป่วยสามารถรับประทานอาหาร และน้ำไต้ทันทีที่มาถึงหอผู้ปวยพักฟื้น เฉพาะทางโรคหัวใจ ชี.ซี.ยู. (CCU) หรือหอผู้ป่วย ไอ.ชี.ยู. (ICU)
4. หากผู้ป่วยมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ เวียนศีรษะ มีไข้ และรู้สึกอุ่น ๆ ชื้น ๆ หรือพบว่ามีเลือดออก หรือมีก้อนเลือตใต้ผิวหนังบริเวณแผลขาหนีบ ควรแจ้งให้แพทย์พยาบาลหรือเจ้าหน้าที่ทราบทันที
5. วันรุ่งขึ้นแพทย์จะมาเยี่ยมอาการ และทำแผลบริเวณขาหนีบข้างที่ทำเพื่อดูอาการผิดปกติ ถ้าไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้
การปฏิบัติตัวภายหลังการรักษาเมื่อกลับไปอยู่บ้าน
1. สามารถอาบน้ำได้ โดยก่อนกลับบ้านผู้ป่วยจะได้รับการทำแผลและปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ สังเกตอาการผิดปกติ เช่น แผลบวมแดง ร้อน กดเจ็บ มีหนอง หรือน้ำเหลืองออกจากแผล หากมีอาการดังกล่าวควรพบแพทย์ทันที
2. สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ตามปกติ แต่ในระยะ 2 สัปดาห์แรก ผู้ป่วยควรหลีกเลี่ยงท่าทางที่จะทำให้เส้นเลือดที่ขาหนีบพับงอ และถูกกดมาก ๆ เช่น การนั่งยอง ๆ นั่งพับเพียบ นั่งขัดสมาธิ การนั่งเก้าอี้เป็นเวลานาน ๆ ให้สลับด้วยการยืนหรือเดิน ไม่ควรขับรถ หรือออกกำลังกายหักโหม ห้ามยกของหนัก
3. ในรายที่ทำการรักษาสำเร็จ ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยาต่อ แพทย์จะนัดมาดูอาการหลังการรักษาประมาณ 1 - 2 เดือน
4. ในระยะ 2 เดือนแรกผู้ป่วยอาจมีความรู้สึกหมือนมีอะไรมากระตุ้นที่หัวใจ และรู้สึกเหมือนหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วินาที อาการเหล่านี้เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ ผู้ป่วยสามารถทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายต่าง ๆ ได้ตามปกติ แต่หากผู้ป่วยรู้สึกว่ามีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติเหมือนก่อนทำการรักษา ควรรีบไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลใกล้เคียงเพื่อทำการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจในช่วงที่มีอาการทันที และนำคลื่นไฟฟ้าหัวใจมาปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาในภายหลัง
5. หลีกเสี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ เช่น
- สูบบุหรี่
- ดื่มเครื่องดื่มประเภท Alcohol ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน
- ควบคุมอารมณ์ไม่ให้เครียด เพราะความเครียดจะทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นและทำงานหนักขึ้น
- การอยู่ในที่ชุมชนหนาแน่น แออัด เพราะอากาศถ่ายเทไม่สะดวกทำให้หายใจลำบากได้
ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ผู้ป่วยทำการรักษาภาวะหัวใจเต้นเร็วผิดจังหวะด้วยคลื่นความถี่สูงผ่านสายสวน โอกาสที่จะกลับมาเป็นซ้ำมีประมาณร้อยละ 2 - 10
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หัวใจ ชั้น 4 โซน C