
การใช้น้ำตาเทียมภายหลังการผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์
การผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ เช่น เลสิก (LASIK), โฟโทรีแฟรคทีฟ เคอราเท็คโทมี (Photorefractive Keratectomy) หรือรีเล็กซ์สไมล์ (ReLEx SMILE) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาสายตาสั้นยาวหรือเอียง อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมักประสบภาวะตาแห้ง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวที่พบได้บ่อย น้ำตาเทียมจึงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและดูแลดวงตาหลังการผ่าตัด
ทำไมต้องใช้น้ำตาเทียมหลังผ่าตัดแก้ไขสายตา?
1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวกระจกตา เพื่อป้องกันการระคายเคือง และลดความรู้สึกไม่สบายตา
2. ส่งเสริมกระบวนการสมานแผล ช่วยให้การฟื้นตัวของกระจกตา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสายตา และลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
สาเหตุของอาการตาแห้งหลังทำเลสิก
ในระหว่างการผ่าตัดเลเซอร์เส้นประสาทที่กระจกตาซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการสร้างน้ำตาอาจถูกรบกวน ส่งผลให้การรับรู้ความแห้ง การหลั่งน้ำตาลดลง ทำให้ตารู้สึกแห้ง เคือง หรือแสบ โดยเฉพาะในช่วง 1-3 เดือนแรกหลังการผ่าตัด
หน้าที่และความสำคัญของน้ำตาเทียม
น้ำตาเทียม (artificial tears) คือ สารละลายที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบน้ำตาธรรมชาติ มีหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นผิวดวงตา ลดการระคายเคือง และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของผิวตาให้กลับมาสมดุล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาอักเสบ แผลหายช้า หรือปัญหาการมองเห็นไม่คงที่ (visual fluctuation)
ประเภทของน้ำตาเทียม เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม
1. น้ำตาเทียมชนิดสารละลาย (แบบน้ำ)
- แบบมีสารกันเสีย มักจะอยู่ในรูปแบบขวด หลังจากเปิดใช้งานสามารถเก็บไว้ได้ 1 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้เป็นครั้งคราว
- แบบไม่มีสารกันเสีย มักจะบรรจุในรูปแบบหลอดเล็ก ๆ สำหรับเปิดใช้ให้หมด ภายใน 12 - 24 ชม. เหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องหยอดบ่อย ๆ หรือมีอาการแพ้ง่าย
2. น้ำตาเทียมชนิดเจลหรือขี้ผึ้ง ใช้ป้ายก่อนนอนเพื่อให้ความชุ่มชื้นยาวนาน
คำแนะนําในการใช้น้ำตาเทียมหลังผ่าตัด
1. ใช้ตามคำแนะนําของจักษุแพทย์ โดยทั่วไปจะแนะนําให้ใช้ทุก 1–2 ชั่วโมงในช่วงสัปดาห์แรก และค่อย ๆ ลดลงตามอาการ
2. เลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย (Preservative-free) เพื่อลดการระคายเคือง โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องใช้น้ำตาเทียมบ่อย
3. เก็บให้ถูกวิธี หากเป็นแบบหลอดเดี่ยว ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิด และเก็บในที่แห้งสะอาด
4. หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาหยอดตาอื่นทันที ควรรออย่างน้อย 5–10 นาที หากต้องใช้ยาหยอดตาชนิดอื่นร่วมด้วย
ต้องใช้น้ำตาเทียมนานแค่ไหน?
ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้น้ำตาเทียมต่อเนื่องนานถึง 3–6 เดือน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับอาการและสภาพพื้นฐานของดวงตา ซึ่งควรประเมินร่วมกับจักษุแพทย์อย่างต่อเนื่อง
อาการข้างเคียงที่อาจพบได้จากการใช้น้ำตาเทียม
แม้น้ำตาเทียมจะมีความปลอดภัยสูงและมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง แต่ในบางกรณีอาจพบอาการผิดปกติ ได้แก่
1. ระคายเคืองตา แสบตา หรือรู้สึกไม่สบายตาหลังหยอด บางคนอาจมีอาการแสบตาหรือรู้สึกระคายเคืองหลังใช้น้ำตาเทียม โดยเฉพาะหากน้ำตาเทียมมีสวนผสมของสารกันเสียที่ทำให้ตารู้สึกไม่สบาย
2. ตามัวหรือเห็นภาพไม่ชัด หลังจากใช้บางครั้งอาจรู้สึกว่ามีความพร่ามัวในสายตาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งมักเกิดจากการที่น้ำตาเทียมเคลือบบนกระจกตาชั่วคราว
3. ความรู้สึกเหนียวหรือหนักตา น้ำตาเทียมบางชนิดที่มีเนื้อหนา เช่น น้ำตาเทียมชนิดเจล อาจทำให้รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตาหรือทำให้ตารู้สึกหนัก
4. แพ้สารบางชนิดในน้ำตาเทียม สารบางชนิดในน้ำตาเทียม เช่น สารกันเสีย หรือสารเติมแต่ง อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคน เช่น คันตา ตาแดง หรือตาบวม
หากมีข้อสงสัยต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือหากพบอาการผิดปกติภายหลังการทำหัตถการ สามารถรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์รักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ (The SiGHT) ชั้น 4 โทร 02-419-2487 (เวลา 07.00 - 21.00 น.)
นอกเวลาดังกล่าวติดต่อ แผนกฉุกเฉิน โทร 1474 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
ข้อมูลจาก : พญ.บัณฑิตา เลิศสุวรรณโรจน์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์รักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ (The SiGHT) ชั้น 4 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง
การผ่าตัดแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ เช่น เลสิก (LASIK), โฟโทรีแฟรคทีฟ เคอราเท็คโทมี (Photorefractive Keratectomy) หรือรีเล็กซ์สไมล์ (ReLEx SMILE) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการรักษาสายตาสั้นยาวหรือเอียง อย่างไรก็ตาม หลังการผ่าตัดผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมักประสบภาวะตาแห้ง ซึ่งเป็นผลข้างเคียงชั่วคราวที่พบได้บ่อย น้ำตาเทียมจึงมีบทบาทสำคัญในการฟื้นฟูและดูแลดวงตาหลังการผ่าตัด
ทำไมต้องใช้น้ำตาเทียมหลังผ่าตัดแก้ไขสายตา?
1. ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวกระจกตา เพื่อป้องกันการระคายเคือง และลดความรู้สึกไม่สบายตา
2. ส่งเสริมกระบวนการสมานแผล ช่วยให้การฟื้นตัวของกระจกตา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการฟื้นฟูสายตา และลดผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
สาเหตุของอาการตาแห้งหลังทำเลสิก
ในระหว่างการผ่าตัดเลเซอร์เส้นประสาทที่กระจกตาซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการสร้างน้ำตาอาจถูกรบกวน ส่งผลให้การรับรู้ความแห้ง การหลั่งน้ำตาลดลง ทำให้ตารู้สึกแห้ง เคือง หรือแสบ โดยเฉพาะในช่วง 1-3 เดือนแรกหลังการผ่าตัด
หน้าที่และความสำคัญของน้ำตาเทียม
น้ำตาเทียม (artificial tears) คือ สารละลายที่ออกแบบมาเพื่อเลียนแบบน้ำตาธรรมชาติ มีหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับพื้นผิวดวงตา ลดการระคายเคือง และช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมของผิวตาให้กลับมาสมดุล ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อน เช่น กระจกตาอักเสบ แผลหายช้า หรือปัญหาการมองเห็นไม่คงที่ (visual fluctuation)
ประเภทของน้ำตาเทียม เลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม
1. น้ำตาเทียมชนิดสารละลาย (แบบน้ำ)
- แบบมีสารกันเสีย มักจะอยู่ในรูปแบบขวด หลังจากเปิดใช้งานสามารถเก็บไว้ได้ 1 เดือน เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้เป็นครั้งคราว
- แบบไม่มีสารกันเสีย มักจะบรรจุในรูปแบบหลอดเล็ก ๆ สำหรับเปิดใช้ให้หมด ภายใน 12 - 24 ชม. เหมาะสำหรับผู้ที่จำเป็นต้องหยอดบ่อย ๆ หรือมีอาการแพ้ง่าย
2. น้ำตาเทียมชนิดเจลหรือขี้ผึ้ง ใช้ป้ายก่อนนอนเพื่อให้ความชุ่มชื้นยาวนาน
คำแนะนําในการใช้น้ำตาเทียมหลังผ่าตัด
1. ใช้ตามคำแนะนําของจักษุแพทย์ โดยทั่วไปจะแนะนําให้ใช้ทุก 1–2 ชั่วโมงในช่วงสัปดาห์แรก และค่อย ๆ ลดลงตามอาการ
2. เลือกชนิดที่ไม่มีสารกันเสีย (Preservative-free) เพื่อลดการระคายเคือง โดยเฉพาะในผู้ที่ต้องใช้น้ำตาเทียมบ่อย
3. เก็บให้ถูกวิธี หากเป็นแบบหลอดเดี่ยว ควรใช้ให้หมดภายใน 24 ชั่วโมงหลังเปิด และเก็บในที่แห้งสะอาด
4. หลีกเลี่ยงการใช้ร่วมกับยาหยอดตาอื่นทันที ควรรออย่างน้อย 5–10 นาที หากต้องใช้ยาหยอดตาชนิดอื่นร่วมด้วย
ต้องใช้น้ำตาเทียมนานแค่ไหน?
ผู้ป่วยบางรายอาจต้องใช้น้ำตาเทียมต่อเนื่องนานถึง 3–6 เดือน หรือมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับอาการและสภาพพื้นฐานของดวงตา ซึ่งควรประเมินร่วมกับจักษุแพทย์อย่างต่อเนื่อง
อาการข้างเคียงที่อาจพบได้จากการใช้น้ำตาเทียม
แม้น้ำตาเทียมจะมีความปลอดภัยสูงและมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรง แต่ในบางกรณีอาจพบอาการผิดปกติ ได้แก่
1. ระคายเคืองตา แสบตา หรือรู้สึกไม่สบายตาหลังหยอด บางคนอาจมีอาการแสบตาหรือรู้สึกระคายเคืองหลังใช้น้ำตาเทียม โดยเฉพาะหากน้ำตาเทียมมีสวนผสมของสารกันเสียที่ทำให้ตารู้สึกไม่สบาย
2. ตามัวหรือเห็นภาพไม่ชัด หลังจากใช้บางครั้งอาจรู้สึกว่ามีความพร่ามัวในสายตาเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งมักเกิดจากการที่น้ำตาเทียมเคลือบบนกระจกตาชั่วคราว
3. ความรู้สึกเหนียวหรือหนักตา น้ำตาเทียมบางชนิดที่มีเนื้อหนา เช่น น้ำตาเทียมชนิดเจล อาจทำให้รู้สึกเหมือนมีสิ่งแปลกปลอมในตาหรือทำให้ตารู้สึกหนัก
4. แพ้สารบางชนิดในน้ำตาเทียม สารบางชนิดในน้ำตาเทียม เช่น สารกันเสีย หรือสารเติมแต่ง อาจทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคน เช่น คันตา ตาแดง หรือตาบวม
หากมีข้อสงสัยต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือหากพบอาการผิดปกติภายหลังการทำหัตถการ สามารถรับคำปรึกษาได้ที่ศูนย์รักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ (The SiGHT) ชั้น 4 โทร 02-419-2487 (เวลา 07.00 - 21.00 น.)
นอกเวลาดังกล่าวติดต่อ แผนกฉุกเฉิน โทร 1474 (ตลอด 24 ชั่วโมง)
ข้อมูลจาก : พญ.บัณฑิตา เลิศสุวรรณโรจน์
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์รักษาภาวะสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ (The SiGHT) ชั้น 4 โซน A
บทความที่เกี่ยวข้อง