นอนกรน อันตรายแค่ไหน?
นอนกรนเป็นอาการที่พบบ่อยมาก และเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แท้จริงแล้วเสียงกรนเป็นอาการที่บ่งบอกว่ากำลังมีการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งอาจเป็นตั้งแต่จมูก ช่องลำคอ โคนลิ้น หรือบางส่วนของกล่องเสียง ซึ่งเกิดการหย่อนตัวลงในขณะนอนหลับ จนทำให้เมื่อลมหายใจผ่านเนื้อเยื่อดังกล่าว เกิดการสั่นสะเทือนและมีเสียงดังขึ้น อาการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนต้นนี้อาจเป็นเพียงบางส่วน หรือบางครั้งรุนแรงจนอุดกั้นลมหายใจทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถหายใจเข้าออกได้เป็นระยะๆ ซึ่งเราเรียกลักษณะดังกล่าวว่า “โรคหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA)” หรือที่นิยมเรียกง่ายๆ ว่า “โรคหยุดหายใจขณะหลับ” ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้หลายอย่าง เช่น เป็นสาเหตุและความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์และอัมพาต ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุอันเนื่องมาจากความง่วงนอนมากผิดปกติ หรืออาจก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากต่อผู้นอนร่วมห้อง เกิดเป็นปัญหาทางครอบครัวหรือสังคม ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกอายและเสียบุคลิกภาพได้ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ หากมีการหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก อาจทำให้มีความผิดปกติของพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา เกิดพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ปัสสาวะรดที่นอน มีผลการเรียนแย่ลง หรือมีปัญหาสังคมสำหรับเด็กได้
โรคหยุดหายใจขณะหลับ
คาดว่าพบในประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ของผู้ชายหรือร้อยละ 2 ของผู้หญิงวัยทำงาน และพบได้มากกว่าในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังพบได้ประมาณร้อยละ 1 ของเด็กก่อนวัยเรียนและช่วงประถม
อาการที่บ่งบอกว่าอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
- นอนกรนดังมากเป็นประจำ จนเกิดความรำคาญต่อผู้ที่นอนร่วมด้วย
- รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นบ่อย มีอาการไม่สดชื่น
- คอแห้ง
- ปวดศีรษะเป็นประจำตอนเช้า
- ง่วงนอนมากผิดปกติในระหว่างวัน
- หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่ดี
- มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- มีผู้อื่นสังเกตเห็นว่าหายใจไม่สม่ำเสมอและมีเสียงกรนดังแต่หยุดเป็นช่วงๆ
ในเด็ก หากบุตรหลานของท่านนอนกรนดังเป็นประจำ หรือกระสับกระส่าย หายใจลำบาก คัดจมูกเป็นประจำต้องอ้าปากหายใจบ่อยๆ อาจมีปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ หรือมีพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ผลการเรียนแย่ลง เติบโตช้ากว่าวัย ลักษณะเหล่านี้จึงสงสัยได้ว่าเด็กอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
การตรวจวินิจฉัย
หากสงสัยว่ามีปัญหาดังกล่าว ควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับคู่สมรสหรือผู้ที่สังเกตเห็นอาการของท่านขณะนอน เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม โดยมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยดังนี้
1. ท่านจะได้รับแบบสอบถามประวัติที่เกี่ยวกับสุขภาพการนอนของท่าน (Sleep History) หลังจากนั้นแพทย์จะทบทวนและซักถามอาการต่างๆ รวมถึงปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Medical History)
2. ท่านจะได้รับการตรวจร่างกาย ตั้งแต่การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดชีพจร และความดันโลหิต วัดเส้นรอบวงคอหรือรอบเอว หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายบริเวณศีรษะ ใบหน้า คอ จมูก และช่องปากอย่างละเอียดเพื่อประเมินลักษณะทางเดินหายใจส่วนต้น รวมถึงตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ปอด หัวใจ หรือระบบอื่นๆ ในส่วนที่สำคัญและเกี่ยวข้อง
3. ในหลายกรณีอาจต้องตรวจทางจมูกและลำคอด้วยการส่องกล้อง (Endoscopy) และส่งเอกซเรย์ (X-ray) บริเวณศีรษะ ลำคอ หรือการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น การเจาะเลือด การตรวจปัสสาวะ หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่นๆ ตามความจำเป็น
4. ท่านอาจได้รับการแนะนำให้ตรวจสุขภาพขณะนอนหลับด้วยเครื่อง Polysomnography หรือเรียกง่ายๆ ว่า Sleep Lab Study ซึ่งเป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ รอบตา ใบหน้า และบริเวณขา (EOG and EMG) วัดระดับการหายใจผ่านทางจมูก วัดรอบอกและรอบท้อง รวมถึงการวัดระดับออกซิเจนในเลือด วัดระดับเสียงกรนด้วยไมโครโฟนขนาดเล็ก โดยจะบันทึกภาพวิดีโอไว้เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับต่อไป
แนวทางการรักษา
แนวทางการรักษามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง รวมถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่พบ ซึ่งแพทย์จะให้คำอธิบายหลังจากตรวจยืนยันในข้างต้นแล้วและพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละราย
1. การดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น ได้แก่ การปรับสุขอนามัยการนอน เช่น นอนพักผ่อนให้พอเพียง เข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ งดเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับและยาที่มีฤทธิ์กดประสาทหรือคลายกล้ามเนื้อ งดเว้นดื่มชา กาแฟ และหยุดสูบบุหรี่ในช่วงบ่าย ที่สำคัญคือ ในรายที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินต้องลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. การรักษาปัจจัยเสี่ยงหรือโรคร่วมที่อาจเป็นสาเหตุ เช่น โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ เนื้องอกบริเวณทางเดินหายใจ โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรืออื่นๆ ซึ่งควรได้รับการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป
3. การรักษาจำเพาะ แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
3.1 การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (Positive Airway Pressure Therapy) โดยเครื่องมือที่ “ซีแพ็บ” (CPAP) มีหลักการ คือ เครื่องจะเป่าลมผ่านทางช่องจมูกและหรือทางปาก เพื่อให้มีความดันลมแรงพอที่จะเปิดช่องคอซึ่งเป็นทางเดินหายใจส่วนต้นได้ตลอดเวลาขณะนอนหลับ ในกลุ่มนี้มีหลายแบบ อาจเป็นแบบธรรมดา แบบความดันลม 2 ระดับ (BiPAP) หรือแบบอัตโนมัติ (Auto-PAP) การรักษาด้วยวิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง หากใช้เครื่องได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องตลอดทุกคืน แต่ละแบบมีค่าใช้จ่าย ข้อดี ข้อเสียหรือข้อจำกัดแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทดลองใช้ และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
3.2 การใช้เครื่องมือในช่องปาก (oral appliances) หลักการ คือ ใส่เครื่องมือลักษณะคล้ายฟันยางหรือเครื่องดัดฟันเพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ วิธีนี้ได้ผลดีในรายที่เป็นไม่รุนแรง ปัจจุบันมีหลายชนิด มีข้อดีข้อเสีย หรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
3.3 การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment) กล่าวโดยรวมแล้วการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแต่ละวิธีได้ผลดีไม่เท่ากัน และอาจมีข้อดีข้อเสียที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดหลายวิธี ซึ่งมีข้อดี ข้อเสียหรือความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
- การผ่าตัดจมูก เช่น ใช้คลื่นวิทยุเพื่อลดขนาดของเยื่อบุเทอร์บิเนตอันล่าง (Radiofrequency) หรือผ่าตัดเพื่อดัดผนังกั้นช่องจมูกในรายที่คดมาก (Septoplasty) รวมไปถึงการผ่าตัดริดสีดวงจมูกหรือไซนัสอักเสบ เฉพาะในรายที่มีปัญหาดังกล่าว
- การผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillectomy) และหรือต่อมอะดีนอยด์ (Adenoidectomy) วิธีนี้มีประโยชน์กับผู้ที่มีต่อมทอนซิลโตมาก หรือในเด็กที่มีต่อมอะดีนอยด์และทอนซิลโต
- การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน (Uvulopalatopharyngoplasty หรือ UPPP) ปัจจุบันการผ่าตัดแบบนี้มีหลายวิธี และไม่จำเป็นต้องตัดลิ้นไก่ออกทั้งหมด หลักการคือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของลิ้นไก่และขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเพดานหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวกว่าปกติ
- การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น เช่น การใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดขนาดของลิ้น หรือการผ่าตัดดึงขากรรไกรล่างบางส่วนมาด้านหน้า วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอุดกั้นบริเวณโคนลิ้น
- การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกรทั้งบนล่างมาด้านหน้า (Maxillomandibular Advancement: MMA) เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง วิธีนี้เป็นการผ่าตัดค่อนข้างใหญ่ แพทย์และทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำกับผู้ป่วยโดยตรง การเจาะคอ (Tracheostomy) เป็นการรักษาที่ได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องมีรูด้านหน้าลำคอและใส่ท่อเพื่อการหายใจ จึงมักเป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- การลดเสียงกรนด้วยเทคโนโลยีใหม่และไม่ต้องดมยาสลบ กลุ่มการรักษาด้วยวิธีนี้มีหลายวิธีมาก ได้แก่ การใช้คลื่นความถี่วิทยุบริเวณเพดานอ่อน (Radiofrequency palatoplasty), การฝังไหมพิลล่า (Pillar Implantation) การยิงเลเซอร์เพดานอ่อน (Laser Assisted Uvulopalatoplasty, LAUP) เป็นต้น แต่ละอย่างเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สามารถทำได้ง่ายใช้เวลาเพียง 10 - 15 นาทีหลังการฉีดยาชาเฉพาะที่ และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม กลุ่มการรักษานี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจหรือผู้ที่มีอาการรุนแรงน้อยเท่านั้น
การนอนกรน อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของอันตรายที่ซ่อนอยู่โดยที่ท่านไม่รู้ตัว คือ โรคหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งสามารถรักษาได้และช่วยลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาในภายหลังได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นหากท่านหรือคู่สมรสและบุตรหลานของท่านนอนกรนดังมากเป็นประจำ ท่านอาจพิจารณาเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ และการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หู คอ จมูก ชั้น 3 โซน D
นอนกรนเป็นอาการที่พบบ่อยมาก และเกิดขึ้นได้ทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้สูงอายุ แท้จริงแล้วเสียงกรนเป็นอาการที่บ่งบอกว่ากำลังมีการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนต้น ซึ่งอาจเป็นตั้งแต่จมูก ช่องลำคอ โคนลิ้น หรือบางส่วนของกล่องเสียง ซึ่งเกิดการหย่อนตัวลงในขณะนอนหลับ จนทำให้เมื่อลมหายใจผ่านเนื้อเยื่อดังกล่าว เกิดการสั่นสะเทือนและมีเสียงดังขึ้น อาการตีบแคบของทางเดินหายใจส่วนต้นนี้อาจเป็นเพียงบางส่วน หรือบางครั้งรุนแรงจนอุดกั้นลมหายใจทั้งหมด ทำให้ไม่สามารถหายใจเข้าออกได้เป็นระยะๆ ซึ่งเราเรียกลักษณะดังกล่าวว่า “โรคหยุดหายใจขณะหลับชนิดอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea, OSA)” หรือที่นิยมเรียกง่ายๆ ว่า “โรคหยุดหายใจขณะหลับ” ซึ่งทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพได้หลายอย่าง เช่น เป็นสาเหตุและความเสี่ยงของโรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง หรืออัมพฤกษ์และอัมพาต ภาวะซึมเศร้าเรื้อรัง การเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุอันเนื่องมาจากความง่วงนอนมากผิดปกติ หรืออาจก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากต่อผู้นอนร่วมห้อง เกิดเป็นปัญหาทางครอบครัวหรือสังคม ซึ่งทำให้เกิดความรู้สึกอายและเสียบุคลิกภาพได้ สิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม คือ หากมีการหยุดหายใจขณะหลับในเด็ก อาจทำให้มีความผิดปกติของพัฒนาการทั้งทางด้านร่างกายและสติปัญญา เกิดพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ปัสสาวะรดที่นอน มีผลการเรียนแย่ลง หรือมีปัญหาสังคมสำหรับเด็กได้
โรคหยุดหายใจขณะหลับ
คาดว่าพบในประเทศไทยไม่น้อยกว่าร้อยละ 4 ของผู้ชายหรือร้อยละ 2 ของผู้หญิงวัยทำงาน และพบได้มากกว่าในผู้สูงอายุ นอกจากนี้ ยังพบได้ประมาณร้อยละ 1 ของเด็กก่อนวัยเรียนและช่วงประถม
อาการที่บ่งบอกว่าอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
- นอนกรนดังมากเป็นประจำ จนเกิดความรำคาญต่อผู้ที่นอนร่วมด้วย
- รู้สึกนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ตื่นบ่อย มีอาการไม่สดชื่น
- คอแห้ง
- ปวดศีรษะเป็นประจำตอนเช้า
- ง่วงนอนมากผิดปกติในระหว่างวัน
- หงุดหงิดง่าย อารมณ์ไม่ดี
- มีโรคประจำตัวร่วมด้วย เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ
- มีผู้อื่นสังเกตเห็นว่าหายใจไม่สม่ำเสมอและมีเสียงกรนดังแต่หยุดเป็นช่วงๆ
ในเด็ก หากบุตรหลานของท่านนอนกรนดังเป็นประจำ หรือกระสับกระส่าย หายใจลำบาก คัดจมูกเป็นประจำต้องอ้าปากหายใจบ่อยๆ อาจมีปัสสาวะรดที่นอนเป็นประจำ หรือมีพฤติกรรมซุกซนก้าวร้าว ผลการเรียนแย่ลง เติบโตช้ากว่าวัย ลักษณะเหล่านี้จึงสงสัยได้ว่าเด็กอาจเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับ
การตรวจวินิจฉัย
หากสงสัยว่ามีปัญหาดังกล่าว ควรมาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญพร้อมกับคู่สมรสหรือผู้ที่สังเกตเห็นอาการของท่านขณะนอน เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม โดยมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัยดังนี้
1. ท่านจะได้รับแบบสอบถามประวัติที่เกี่ยวกับสุขภาพการนอนของท่าน (Sleep History) หลังจากนั้นแพทย์จะทบทวนและซักถามอาการต่างๆ รวมถึงปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง (Medical History)
2. ท่านจะได้รับการตรวจร่างกาย ตั้งแต่การชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง วัดชีพจร และความดันโลหิต วัดเส้นรอบวงคอหรือรอบเอว หลังจากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายบริเวณศีรษะ ใบหน้า คอ จมูก และช่องปากอย่างละเอียดเพื่อประเมินลักษณะทางเดินหายใจส่วนต้น รวมถึงตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ปอด หัวใจ หรือระบบอื่นๆ ในส่วนที่สำคัญและเกี่ยวข้อง
3. ในหลายกรณีอาจต้องตรวจทางจมูกและลำคอด้วยการส่องกล้อง (Endoscopy) และส่งเอกซเรย์ (X-ray) บริเวณศีรษะ ลำคอ หรือการตรวจพิเศษอื่นๆ เช่น การเจาะเลือด การตรวจปัสสาวะ หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และอื่นๆ ตามความจำเป็น
4. ท่านอาจได้รับการแนะนำให้ตรวจสุขภาพขณะนอนหลับด้วยเครื่อง Polysomnography หรือเรียกง่ายๆ ว่า Sleep Lab Study ซึ่งเป็นการตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (EEG) คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) คลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ รอบตา ใบหน้า และบริเวณขา (EOG and EMG) วัดระดับการหายใจผ่านทางจมูก วัดรอบอกและรอบท้อง รวมถึงการวัดระดับออกซิเจนในเลือด วัดระดับเสียงกรนด้วยไมโครโฟนขนาดเล็ก โดยจะบันทึกภาพวิดีโอไว้เพื่อวิเคราะห์อย่างละเอียดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนหลับต่อไป
แนวทางการรักษา
แนวทางการรักษามีหลายวิธีขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรง รวมถึงสาเหตุหรือปัจจัยที่พบ ซึ่งแพทย์จะให้คำอธิบายหลังจากตรวจยืนยันในข้างต้นแล้วและพิจารณาทางเลือกที่เหมาะสมกับแต่ละราย
1. การดูแลและปฏิบัติตัวเบื้องต้น ได้แก่ การปรับสุขอนามัยการนอน เช่น นอนพักผ่อนให้พอเพียง เข้านอนและตื่นนอนอย่างตรงเวลาสม่ำเสมอ งดเว้นเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ก่อนนอน หลีกเลี่ยงการใช้ยานอนหลับและยาที่มีฤทธิ์กดประสาทหรือคลายกล้ามเนื้อ งดเว้นดื่มชา กาแฟ และหยุดสูบบุหรี่ในช่วงบ่าย ที่สำคัญคือ ในรายที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินต้องลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2. การรักษาปัจจัยเสี่ยงหรือโรคร่วมที่อาจเป็นสาเหตุ เช่น โรคเยื่อบุจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ เนื้องอกบริเวณทางเดินหายใจ โรคทางระบบประสาทและกล้ามเนื้อ หรืออื่นๆ ซึ่งควรได้รับการรักษาโรคเหล่านี้ควบคู่กันไป
3. การรักษาจำเพาะ แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
3.1 การรักษาด้วยเครื่องอัดอากาศแรงดันบวก (Positive Airway Pressure Therapy) โดยเครื่องมือที่ “ซีแพ็บ” (CPAP) มีหลักการ คือ เครื่องจะเป่าลมผ่านทางช่องจมูกและหรือทางปาก เพื่อให้มีความดันลมแรงพอที่จะเปิดช่องคอซึ่งเป็นทางเดินหายใจส่วนต้นได้ตลอดเวลาขณะนอนหลับ ในกลุ่มนี้มีหลายแบบ อาจเป็นแบบธรรมดา แบบความดันลม 2 ระดับ (BiPAP) หรือแบบอัตโนมัติ (Auto-PAP) การรักษาด้วยวิธีนี้อาจจะเป็นวิธีที่ได้ผลและมีความปลอดภัยสูง หากใช้เครื่องได้อย่างถูกต้องและต่อเนื่องตลอดทุกคืน แต่ละแบบมีค่าใช้จ่าย ข้อดี ข้อเสียหรือข้อจำกัดแตกต่างกันไป ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทดลองใช้ และติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ
3.2 การใช้เครื่องมือในช่องปาก (oral appliances) หลักการ คือ ใส่เครื่องมือลักษณะคล้ายฟันยางหรือเครื่องดัดฟันเพื่อป้องกันลิ้นตกไปอุดกั้นทางเดินหายใจ วิธีนี้ได้ผลดีในรายที่เป็นไม่รุนแรง ปัจจุบันมีหลายชนิด มีข้อดีข้อเสีย หรือข้อจำกัดที่แตกต่างกันไป ดังนั้น จึงควรปรึกษาแพทย์ก่อน
3.3 การรักษาด้วยการผ่าตัด (Surgical Treatment) กล่าวโดยรวมแล้วการรักษาด้วยวิธีผ่าตัดแต่ละวิธีได้ผลดีไม่เท่ากัน และอาจมีข้อดีข้อเสียที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคนต่างกัน ดังนั้นจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนการตัดสินใจทุกครั้ง ปัจจุบันมีวิธีการผ่าตัดหลายวิธี ซึ่งมีข้อดี ข้อเสียหรือความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่น
- การผ่าตัดจมูก เช่น ใช้คลื่นวิทยุเพื่อลดขนาดของเยื่อบุเทอร์บิเนตอันล่าง (Radiofrequency) หรือผ่าตัดเพื่อดัดผนังกั้นช่องจมูกในรายที่คดมาก (Septoplasty) รวมไปถึงการผ่าตัดริดสีดวงจมูกหรือไซนัสอักเสบ เฉพาะในรายที่มีปัญหาดังกล่าว
- การผ่าตัดต่อมทอนซิล (Tonsillectomy) และหรือต่อมอะดีนอยด์ (Adenoidectomy) วิธีนี้มีประโยชน์กับผู้ที่มีต่อมทอนซิลโตมาก หรือในเด็กที่มีต่อมอะดีนอยด์และทอนซิลโต
- การผ่าตัดตกแต่งเพดานอ่อน (Uvulopalatopharyngoplasty หรือ UPPP) ปัจจุบันการผ่าตัดแบบนี้มีหลายวิธี และไม่จำเป็นต้องตัดลิ้นไก่ออกทั้งหมด หลักการคือ การผ่าตัดเพื่อลดขนาดของลิ้นไก่และขยายช่องทางเดินหายใจบริเวณลำคอ วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องเพดานหย่อนหรือลิ้นไก่ยาวกว่าปกติ
- การผ่าตัดบริเวณโคนลิ้น เช่น การใช้คลื่นความถี่วิทยุเพื่อลดขนาดของลิ้น หรือการผ่าตัดดึงขากรรไกรล่างบางส่วนมาด้านหน้า วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาอุดกั้นบริเวณโคนลิ้น
- การผ่าตัดเลื่อนกรามและขากรรไกรทั้งบนล่างมาด้านหน้า (Maxillomandibular Advancement: MMA) เป็นการผ่าตัดที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง วิธีนี้เป็นการผ่าตัดค่อนข้างใหญ่ แพทย์และทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะให้คำแนะนำกับผู้ป่วยโดยตรง การเจาะคอ (Tracheostomy) เป็นการรักษาที่ได้ผลเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยต้องมีรูด้านหน้าลำคอและใส่ท่อเพื่อการหายใจ จึงมักเป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่รักษาด้วยวิธีอื่นไม่ได้ผล
- การลดเสียงกรนด้วยเทคโนโลยีใหม่และไม่ต้องดมยาสลบ กลุ่มการรักษาด้วยวิธีนี้มีหลายวิธีมาก ได้แก่ การใช้คลื่นความถี่วิทยุบริเวณเพดานอ่อน (Radiofrequency palatoplasty), การฝังไหมพิลล่า (Pillar Implantation) การยิงเลเซอร์เพดานอ่อน (Laser Assisted Uvulopalatoplasty, LAUP) เป็นต้น แต่ละอย่างเป็นวิธีที่ค่อนข้างปลอดภัย มีทั้งข้อดีและข้อเสีย สามารถทำได้ง่ายใช้เวลาเพียง 10 - 15 นาทีหลังการฉีดยาชาเฉพาะที่ และไม่ต้องนอนโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม กลุ่มการรักษานี้เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีภาวะหยุดหายใจหรือผู้ที่มีอาการรุนแรงน้อยเท่านั้น
การนอนกรน อาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของอันตรายที่ซ่อนอยู่โดยที่ท่านไม่รู้ตัว คือ โรคหยุดหายใจขณะหลับ ซึ่งสามารถรักษาได้และช่วยลดปัญหาหรือความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ที่อาจตามมาในภายหลังได้ไม่มากก็น้อย ดังนั้นหากท่านหรือคู่สมรสและบุตรหลานของท่านนอนกรนดังมากเป็นประจำ ท่านอาจพิจารณาเข้ามาพบแพทย์เพื่อรับคำแนะนำ และการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสมต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์หู คอ จมูก ชั้น 3 โซน D