เหงื่อออกเยอะ ดีจริงหรือ ?

“เหงื่อออกเยอะ” แปลว่าออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ จริงหรือ ?

   หลายคนอาจยังเชื่ออยู่ว่า หากออกกำลังกายอย่างหนัก เหงื่อออกเยอะ แปลว่า ร่างกายมีการเผาผลาญที่ดี แต่รู้ไหมว่า…ความจริงแล้ว ทั้งเหงื่อ และการออกกำลังกาย ทั้งสองอย่างนี้ แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย การหักโหมออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ช่วยให้เราผอมลงเร็วขึ้น และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วยซ้ำไป เพราะเหงื่อ เกิดจากการระบายความร้อนของร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายจะเกิดความร้อนเวลาออกกำลังกาย และหากความร้อนเพิ่มสูงเกินไป ก็อาจเกิดภาวะโรคลมแดด หรือภาวะตัวร้อนเกิน ร่างกายจึงระบายความร้อนด้วยการขับเหงื่อออกมาทางผิวหนัง ทำให้เราดีใจ เมื่อพบว่าน้ำหนักลดลงหลังออกกำลังทันที แต่น้ำหนักที่หายไป กลายเป็นปริมาณของเหงื่อที่ไหลออกมาเพียงเท่านั้น

   ดังนั้น การที่เหงื่อออกมากหรือน้อยไม่ได้เป็นตัววัดประสิทธิภาพ ในการออกกำลังกาย แต่ควรเน้นการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอมากกว่า จึงจะช่วยให้ร่างกายมีการเผาผลาญไขมันที่ดีขึ้น ทั้งยังควรเลือกประเภท ของการออกกำลังกาย ให้หลากหลายและเหมาะสมกับตัวเองที่สุด

 

 

การออกกำลังกายแต่ละประเภท ก็มีจุดเด่นต่างกันไป หากต้องการเน้นการเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็น่าจะเหมาะกับการออกกำลังกายแบบ Resistance Training หรือรู้จักกันในชื่อ Weight training คือการสู้กับแรงต้านจากน้ำหนักตัว เช่น ดันพื้น ลุกนั่ง หรือใช้อุปกรณ์เข้าช่วย ไม่ว่าจะเป็นดัมเบล บาร์เบล ยางยืด นั่นเอง

อีกแบบที่เหมาะแก่การลดน้ำหนัก คือ Cardio ที่จะช่วยให้ระบบหัวใจและ การไหลเวียนเลือดแข็งแรงด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำ ๆ เช่น เดิน วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน เป็นต้น ซึ่งทำเป็นกิจวัตรประจำวันได้ ขณะที่การออกกำลังกายแบบ Flexibility ยืดร่างกาย โยคะ จะช่วยลดความตึงกล้ามเนื้อและอาการปวดคอไหล่ หลัง เหมาะกับบรรดามนุษย์เงินเดือน อีกด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมัน วิธีออกกำลังกายที่เหมาะที่สุดสำหรับ Cardio คือ การเต้นแอโรบิก จากระดับเบาไปจนถึงปานกลางในระยะเวลา 30 นาทีขึ้นไป อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะทำให้รูปร่างดีขึ้น ช่วยพัฒนาระบบหลอดเลือดและหัวใจ เหมือนได้ทำ Cardio และถ้าออกกำลังกายแบบ Resistance Training ( Weight training ) ก่อนเริ่มแอโรบิกด้วยจะยิ่งเผาผลาญได้ดีขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

จากข้อมูลดังกล่าว การออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เหงื่อออกเยอะหรือน้อย แต่หากเป็นเพราะการออกกำลังกาย ทั้งแบบ Resistance Training ( Weight training ) หรือ Cardio เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น นั่นหมายถึงการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายให้ดีขึ้นด้วยอีกเช่นกัน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ชั้น 3 โซน C

“เหงื่อออกเยอะ” แปลว่าออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ จริงหรือ ?

   หลายคนอาจยังเชื่ออยู่ว่า หากออกกำลังกายอย่างหนัก เหงื่อออกเยอะ แปลว่า ร่างกายมีการเผาผลาญที่ดี แต่รู้ไหมว่า…ความจริงแล้ว ทั้งเหงื่อ และการออกกำลังกาย ทั้งสองอย่างนี้ แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย การหักโหมออกกำลังกายอย่างหนัก เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อเป็นจำนวนมาก ไม่ได้ช่วยให้เราผอมลงเร็วขึ้น และอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วยซ้ำไป เพราะเหงื่อ เกิดจากการระบายความร้อนของร่างกาย ซึ่งโดยปกติแล้วร่างกายจะเกิดความร้อนเวลาออกกำลังกาย และหากความร้อนเพิ่มสูงเกินไป ก็อาจเกิดภาวะโรคลมแดด หรือภาวะตัวร้อนเกิน ร่างกายจึงระบายความร้อนด้วยการขับเหงื่อออกมาทางผิวหนัง ทำให้เราดีใจ เมื่อพบว่าน้ำหนักลดลงหลังออกกำลังทันที แต่น้ำหนักที่หายไป กลายเป็นปริมาณของเหงื่อที่ไหลออกมาเพียงเท่านั้น

   ดังนั้น การที่เหงื่อออกมากหรือน้อยไม่ได้เป็นตัววัดประสิทธิภาพ ในการออกกำลังกาย แต่ควรเน้นการออกกำลังกายให้สม่ำเสมอมากกว่า จึงจะช่วยให้ร่างกายมีการเผาผลาญไขมันที่ดีขึ้น ทั้งยังควรเลือกประเภท ของการออกกำลังกาย ให้หลากหลายและเหมาะสมกับตัวเองที่สุด

 

 

การออกกำลังกายแต่ละประเภท ก็มีจุดเด่นต่างกันไป หากต้องการเน้นการเพิ่มกล้ามเนื้อ ก็น่าจะเหมาะกับการออกกำลังกายแบบ Resistance Training หรือรู้จักกันในชื่อ Weight training คือการสู้กับแรงต้านจากน้ำหนักตัว เช่น ดันพื้น ลุกนั่ง หรือใช้อุปกรณ์เข้าช่วย ไม่ว่าจะเป็นดัมเบล บาร์เบล ยางยืด นั่นเอง

อีกแบบที่เหมาะแก่การลดน้ำหนัก คือ Cardio ที่จะช่วยให้ระบบหัวใจและ การไหลเวียนเลือดแข็งแรงด้วยการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำ ๆ เช่น เดิน วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน เป็นต้น ซึ่งทำเป็นกิจวัตรประจำวันได้ ขณะที่การออกกำลังกายแบบ Flexibility ยืดร่างกาย โยคะ จะช่วยลดความตึงกล้ามเนื้อและอาการปวดคอไหล่ หลัง เหมาะกับบรรดามนุษย์เงินเดือน อีกด้วย

สำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมัน วิธีออกกำลังกายที่เหมาะที่สุดสำหรับ Cardio คือ การเต้นแอโรบิก จากระดับเบาไปจนถึงปานกลางในระยะเวลา 30 นาทีขึ้นไป อย่างน้อย 3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะทำให้รูปร่างดีขึ้น ช่วยพัฒนาระบบหลอดเลือดและหัวใจ เหมือนได้ทำ Cardio และถ้าออกกำลังกายแบบ Resistance Training ( Weight training ) ก่อนเริ่มแอโรบิกด้วยจะยิ่งเผาผลาญได้ดีขึ้นเป็นเท่าตัวเลยทีเดียว

จากข้อมูลดังกล่าว การออกกำลังกายอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เหงื่อออกเยอะหรือน้อย แต่หากเป็นเพราะการออกกำลังกาย ทั้งแบบ Resistance Training ( Weight training ) หรือ Cardio เพราะเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากขึ้น นั่นหมายถึงการเสริมสร้างประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายให้ดีขึ้นด้วยอีกเช่นกัน

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู ชั้น 3 โซน C


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง