ปัสสาวะผิดปกติ...เสี่ยงภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินหรือเปล่า?

 

    เรากำลังพูดถึงภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน หรือโอเอบี (overactive bladder หรือ OAB) อาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower urinary tract symptoms) ที่เกิดขึ้นได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยทั่วไปพบ 2 กลุ่มอาการ คือ 

          1. อาการผิดปกติในการเก็บน้ำปัสสาวะ ผู้ป่วยเก็บน้ำปัสสาวะได้ไม่นาน หรือเก็บน้ำปัสสาวะไม่อยู่  ปัสสาวะเล็ด ราด 
          2. กลุ่มอาการขับน้ำปัสสาวะออกได้ลำบาก ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการปัสสาวะแต่ละครั้งนาน ออกลำบาก และมีความรู้สึกเหลือค้าง 

   ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกิน (Overactive bladder) จัดเป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยยังคงต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ในบางรายหากได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องและเหมาะสม พบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ผู้ป่วยก็อาจจะมีโอกาสหายขาดได้ สำหรับการรักษานั้นมีหลากหลายวิธี ทั้งนี้ต้องพิจารณาให้การรักษาตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย โดยอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจตัวโรคของผู้ป่วยเอง ประกอบกับการพูดคุยปรึกษากับแพทย์เพื่อหาทางออก เป้าหมายของการรักษาและวิธีการรักษา เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและลดผลข้างเคียงจากการรักษาที่อาจจะเกิดขึ้น 

สาเหตุของภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน  

สาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ แต่เชื่อกันว่าน่าจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น 

  • การควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะไม่พัฒนา การขับถ่ายปัสสาวะจึงยังเป็นเหมือนของทารกหรือเด็กอ่อน ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติที่สมอง ไขสันหลังหรือที่กระเพาะปัสสาวะเอง 
  • การเสื่อมสภาพการควบคุมการถ่ายปัสสาวะตามอายุ เนื่องจากโรคนี้พบมากในคนสูงอายุ 
  • กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและท่อปัสสาวะมีการทำงานที่ผิดปกติ 
  • ตัวกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะเองมีการทำงานที่ผิดปกติ 
  • มีการอุดกั้นทางเดินของน้ำปัสสาวะที่บริเวณคอของกระเพาะปัสสาวะ 
  • เกิดขึ้นเองภายหลังการผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานโดยเฉพาะการผ่าตัดรักษาภาวะปัสสาวะเล็ด 

ตรวจได้อย่างไรบ้าง? 

แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ ปริมาณและชนิดของสารน้ำที่ดื่ม ตลอดจนสุขภาพทั่วไป หลังจากนั้นจะได้รับการตรวจทางนรีเวชวิทยาเพื่อค้นหาปัญหา ที่อาจเป็นสาเหตุของกลุ่มอาการกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน  

นอกจากนี้ อาจได้รับการตรวจสืบค้นดังต่อไปนี้ 

  • การตรวจปัสสาวะ เป็นการเก็บตัวอย่างน้ำปัสสาวะเพื่อตรวจการติดเชื้อหรือเลือดออกในทางเดินปัสสาวะ 
  • การตรวจวัดปัสสาวะตก ค้างหลังถ่ายปัสสาวะ เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสแกน หรือใช้ท่อเล็กๆ สวนปัสสาวะภายหลังถ่ายปัสสาวะ เพื่อหาปริมาณน้ำปัสสาวะที่ตกค้างเหลืออยู่ในกระเพาะปัสสาวะ 
  • การตรวจยูโรพลศาสตร์หรือยูโรไดนามิกส์ (urodynamics) ใช้ เพื่อตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะขณะที่มีการเติมน้ำเข้าไปใน กระเพาะปัสสาวะ การตรวจนี้จะบอกว่ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวอย่างไม่เหมาะสมเกิด ขึ้นหรือไม่ ถ้ามีการบีบตัวเกิดขึ้น เรียกว่า กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (detrusor overactivity) นอกจากนี้ ยังใช้ตรวจว่ามีภาวะปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง และมีการขับถ่ายปัสสาวะได้หมดหรือมีปัสสาวะตกค้างหรือไม่ 

อาการบอกโรค 

อาการที่จะบ่งบอกว่าคุณมีภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกินจะมีอาการหลักๆ 4 อาการดังนี้ คือ 

  • ปวดปัสสาวะรีบเร่ง (Urgency) หมายถึงอาการรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรงจนไม่สามารถรอได้ต้องรีบไปห้องน้ำทันที 
  • ปัสสาวะบ่อย (Frequency) หมายถึงมีการปัสสาวะที่บ่อยกว่าปกติ คือ มากกว่า 8 ครั้งต่อวัน (24 ชั่วโมง) จำนวนครั้งที่แต่ละบุคคลถ่ายปัสสาวะในระหว่างวัน แต่โดยทั่วไปนั้นการปัสสาวะมากกว่า 7 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ไม่ได้นอนหลับถือว่าเป็นการปัสสาวะที่บ่อยกว่าปกติ 
  • ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) หมายถึง หลังจากที่เข้านอน ไปแล้วจะต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถนอนหลับได้ 6-8 ชั่วโมงโดยไม่ต้องปัสสาวะ 
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ปัสสาวะเล็ดราด (Urge incontinence) หมายถึงมีการเล็ดราดของปัสสาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจาก ความรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างฉับพลัน อาการนี้จะเป็นอาการอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้องมีอาการนี้ร่วมด้ว อาการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น อาจจะมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอย่างเป็นประจำทุกวัน หรืออาจเป็นๆ หายๆ ก็ได้  

แนวทางการรักษา 

การรักษาแบบประคับประคองและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 
          การรักษานี้ผู้ป่วยควรที่จะต้องทำความเข้าใจถึงรูปแบบการปัสสาวะของตนเอง โดยอาศัยข้อมูลจากการจดบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปริมาณน้ำปัสสาวะในแต่ละครั้งตลอด 24 ชั่วโมง แล้วนำมาปรับเปลี่ยนตามความสามารถที่จะทำได้โดยไม่รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก ตัวอย่างเช่น การลดหรืองดน้ำดื่มในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และปัสสาวะก่อนที่จะเข้านอน ซึ่งจะช่วยลดการตื่นมาปัสสาวะในช่วงขณะหลับ ในบางรายอาจพบว่ามีการดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน จึงจำเป็นที่จะต้องงดหรือลดการดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวลง บางรายที่มีการใช้ยารักษาโรคที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจจำเป็นที่ต้องปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยา เพื่อช่วยในการปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยไม่กระทบต่อการรักษาโรคประจำตัวที่มีอยู่ 
          ในรายที่มีปัญหาไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้นาน หรือมีปัสสาวะราดก่อนที่จะถึงห้องน้ำ แนะนำให้ทำการฝึกการควบคุมปัสสาวะโดยเพิ่มจำนวนเวลา ตัวอย่างเช่น หากผู้ป่วยมีอาการปวดปัสสาวะมาก อาจจะให้พยายามกลั้นปัสสาวะไว้โดยทำกิจกรรมอื่นๆที่ดึงดูดความสนใจ โดยเพิ่มระยะเวลา 5 – 10 นาที ก่อนที่จะไปเข้าห้องน้ำ ในบางครั้งอาการดังกล่าวจะค่อยๆหายไปเอง จนสามารถยืดช่วงเวลาความห่างในการปัสสาวะแต่ละครั้งได้ถึง 3 – 4 ชั่วโมง  

การรักษาโดยการใช้ยารับประทาน 
          ปัจจุบันยาที่ใช้เพื่อรักษามีอยู่ 2 กลุ่มหลักคือ ยากลุ่ม Antimuscarinic drugs และยากลุ่ม Beta-3 agonist โดยทั้งสองกลุ่มนั้นมีผลลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อช่วยลดอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกิน ทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะกลั้นปัสสาวะไว้ได้นานขึ้น ลดอาการเร่งรีบหาห้องน้ำเมื่อมีอาการปวดปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความถี่ในการปัสสาวะลดลง แต่ผู้ป่วยส่วนมากมักจะหยุดใช้ยาไปเอง เนื่องจากยาทั้งสองกลุ่มนั้นมีผลข้างเคียงต่อระบบการทำงานของอวัยวะอื่นๆ โดยยากลุ่ม Antimuscarinic drugs นั้น จะทำให้ ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก คัน ในผู้สูงอายุอาจมีผลต่อสมองทำให้มีความผิดปกติเกียวกับกระบวนการรับรู้ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาต้อหินที่ไม่สามารถคุมความดันลูกตาได้ดี จะเป็นข้อห้ามของการใช้ยากลุ่มนี้ เพราะจะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ในบางรายอาจเกิดอาการปัสสาวะไม่ออกได้ ส่วนยาในกลุ่ม Beta-3 agonist จะมีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ปากแห้ง คอแห้ง แต่อาจจะน้อยกว่ากลุ่ม Antimuscarinic drugs ความดันโลหิตสูงขึ้น และใจสั่น  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการใช้ยานั้นมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะการใช้ยาในระยะยาวอาจมีปัญหาดื้อยาได้ หากผู้ป่วยไม่พยายามที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วย  
การรักษาโดยใช้การฉีดยาโบทูลินุมท็อกซินเข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ 
            การรักษาโดยการฉีดยาโบทูลินุมท็อกซินเข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ โดยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง (ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อต่อการใช้ยา ไม่ตอบสนองถึงแม้ว่าจะใช้ยาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในขนาดยาที่สูงที่สุดแล้วก็ตาม หรือในรายที่ทนผลข้างเคียงจากการใช้ยารับประทานไม่ได้) 
            ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาโดยวิธีการนี้ ควรได้รับการตรวจยูโรพลศาสตร์ เพื่อประเมินการทำงานของกระเพาะปัสสาวะก่อน อีกทั้งต้องยินยอมและเรียนรู้ที่จะฝึกการสวนน้ำปัสสาวะทิ้งด้วยตนเอง เนื่องจากผลข้างเคียงที่สำคัญจากวิธีการรักษานี้คือ อาการปัสสาวะไม่ออก (Urinary retention) หรือปัสสาวะออกไม่หมด (High residual urine)  ในบางรายอาจทำให้เกิดปัญหาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะตามมาได้ การรักษาด้วยวิธีการนี้จะได้ผลอยู่ประมาณ  3 – 9 เดือน เมื่อผู้ป่วยมีอาการกลับอีกจำเป็นต้องได้รับการฉีดยาซ้ำ   

การรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อลดการทำงานของระบบประสาทควบคุมกระเพาะปัสสาวะ 
          การรักษาโดยวิธีนี้อาศัยหลักการที่ว่า เมื่อเรากระตุ้นเส้นประสาทควบคุมระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างซึ่งมาจากเส้นประสาทไขสันหลังระดับกระเบนเหน็บที่ 2 ถึง 4 ด้วยกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำ จะไปเกิดการเปลี่ยนสมดุลของการควบคุมการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ดังนั้นเมื่อหยุดการกระตุ้นอาการของผู้ป่วยจึงอาจกลับมาเหมือนเดิม ในปัจจุบันมีวิธีการที่ใช้อยู่ 2 แบบ คือ 
          - แบบชั่วคราว (Temporary nerve stimulation) ได้แก่ การกระตุ้นเส้นประสาทที่บริเวณขาโดยใช้การฝังเข็มหรือแผ่นแปะเพื่อส่งกระแสไฟฟ้า ซึ่งผลของการรักษาจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งเส้นประสาทที่กระตุ้นว่าถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งผู้ป่วยจะต้องมารับการรักษาสัปดาห์ละ 1 ครั้งที่โรงพยาบาล จนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือเป็นที่พอใจ 
          - แบบถาวร (Permanent nerve stimulation) ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดโดยการใส่เส้นลวดขนาดเล็กเข้าที่บริเวณเส้นประสาทไขสันหลังระดับกระเบนเหน็บที่ 3 และฝังเครื่องกระตุ้นขนาดเล็กไว้ที่บริเวณสะโพก เพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำตลอดเวลา ขั้นตอนการผ่าตัดไม่ซับซ้อนและอยู่โรงพยาบาลในระยะสั้น ขึ้นกับว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองในระยะทดสอบดีมากน้อยเพียงใด หลังจากผ่าตัดแล้วผู้ป่วยสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และสามารถปิดเปิดเครื่อง เปลี่ยนโปรแกรมของเครื่องได้ตามอาการ ระยะเวลาของเครื่องสามารถใช้งานได้เฉลี่ย 4 – 5 ปี ขึ้นอยู่กับอายุของแบตเตอรี่ 
          ข้อดีของวิธีการนี้ คือ ผลข้างเคียงจากการรักษาค่อนข้างน้อย และมีอยู่ชั่วคราว นอกจากนี้ผู้ป่วยจะไม่เกิดปัญหาปัสสาวะไม่ออก แต่ปัญหาที่สำคัญคือราคาของเครื่องกระตุ้นนั้นยังมีราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งผู้ป่วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนโปรแกรมเครื่องได้ด้วยตนเอง 

การผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ 
          มีผู้ป่วยจำนวนน้อยรายที่ได้รับการรักษาจากวิธีทั้งหมดข้างต้น แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เลือกที่จะทำการรักษาโดยการผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ โดยนำลำไส้เล็กประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร มาเย็บต่อเข้ากับกระเพาะปัสสาวะที่เปิดขยายออก ทำให้ความจุในการเก็บน้ำปัสสาวะมากขึ้น แต่ก่อนที่จะทำการผ่าตัดผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจกับผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ ปัสสาวะมีตะกอนมูก ปัสสาวะออกไม่แรงต้องอาศัยการเบ่งปัสสาวะ ปัสสาวะออกไม่หมด จำเป็นต้องสวนปัสสาวะทิ้งเป็นครั้งคราว มีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสูงขึ้น และมีโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะสูงกว่าปกติ   ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยจำนวนน้อยที่ตัดสินใจรับการรักษาด้วยวิธีนี้ 

ความพร้อมของทีมรักษา 

          แม้ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจะไม่ได้ส่งผลร้ายแรงกับร่างกาย แต่รบกวนการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน รวมถึงส่งผลกับสุขภาพได้ในระยะยาว ดังนั้นการหมั่นสังเกตตนเองแล้วรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาทันทีและถูกวิธี ย่อมช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไปอีกนาน 

 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ ชั้น 4 โซน A

    เรากำลังพูดถึงภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน หรือโอเอบี (overactive bladder หรือ OAB) อาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง (Lower urinary tract symptoms) ที่เกิดขึ้นได้กับทั้งเพศชายและเพศหญิง โดยทั่วไปพบ 2 กลุ่มอาการ คือ 

          1. อาการผิดปกติในการเก็บน้ำปัสสาวะ ผู้ป่วยเก็บน้ำปัสสาวะได้ไม่นาน หรือเก็บน้ำปัสสาวะไม่อยู่  ปัสสาวะเล็ด ราด 
          2. กลุ่มอาการขับน้ำปัสสาวะออกได้ลำบาก ทำให้ผู้ป่วยต้องใช้เวลาในการปัสสาวะแต่ละครั้งนาน ออกลำบาก และมีความรู้สึกเหลือค้าง 

   ภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกิน (Overactive bladder) จัดเป็นกลุ่มโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยยังคงต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ในบางรายหากได้รับการตรวจวินิจฉัยอย่างถูกต้องและเหมาะสม พบสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ผู้ป่วยก็อาจจะมีโอกาสหายขาดได้ สำหรับการรักษานั้นมีหลากหลายวิธี ทั้งนี้ต้องพิจารณาให้การรักษาตามความเหมาะสมในผู้ป่วยแต่ละราย โดยอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจตัวโรคของผู้ป่วยเอง ประกอบกับการพูดคุยปรึกษากับแพทย์เพื่อหาทางออก เป้าหมายของการรักษาและวิธีการรักษา เพื่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและลดผลข้างเคียงจากการรักษาที่อาจจะเกิดขึ้น 

สาเหตุของภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน  

สาเหตุที่แน่ชัดยังไม่ทราบ แต่เชื่อกันว่าน่าจะเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น 

  • การควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะไม่พัฒนา การขับถ่ายปัสสาวะจึงยังเป็นเหมือนของทารกหรือเด็กอ่อน ซึ่งอาจเป็นความผิดปกติที่สมอง ไขสันหลังหรือที่กระเพาะปัสสาวะเอง 
  • การเสื่อมสภาพการควบคุมการถ่ายปัสสาวะตามอายุ เนื่องจากโรคนี้พบมากในคนสูงอายุ 
  • กล้ามเนื้อที่รองรับอวัยวะในอุ้งเชิงกรานและท่อปัสสาวะมีการทำงานที่ผิดปกติ 
  • ตัวกล้ามเนื้อของกระเพาะปัสสาวะเองมีการทำงานที่ผิดปกติ 
  • มีการอุดกั้นทางเดินของน้ำปัสสาวะที่บริเวณคอของกระเพาะปัสสาวะ 
  • เกิดขึ้นเองภายหลังการผ่าตัดในอุ้งเชิงกรานโดยเฉพาะการผ่าตัดรักษาภาวะปัสสาวะเล็ด 

ตรวจได้อย่างไรบ้าง? 

แพทย์จะซักถามเกี่ยวกับการขับถ่ายปัสสาวะ ปริมาณและชนิดของสารน้ำที่ดื่ม ตลอดจนสุขภาพทั่วไป หลังจากนั้นจะได้รับการตรวจทางนรีเวชวิทยาเพื่อค้นหาปัญหา ที่อาจเป็นสาเหตุของกลุ่มอาการกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน  

นอกจากนี้ อาจได้รับการตรวจสืบค้นดังต่อไปนี้ 

  • การตรวจปัสสาวะ เป็นการเก็บตัวอย่างน้ำปัสสาวะเพื่อตรวจการติดเชื้อหรือเลือดออกในทางเดินปัสสาวะ 
  • การตรวจวัดปัสสาวะตก ค้างหลังถ่ายปัสสาวะ เป็นการตรวจโดยใช้คลื่นเสียงความถี่สูงสแกน หรือใช้ท่อเล็กๆ สวนปัสสาวะภายหลังถ่ายปัสสาวะ เพื่อหาปริมาณน้ำปัสสาวะที่ตกค้างเหลืออยู่ในกระเพาะปัสสาวะ 
  • การตรวจยูโรพลศาสตร์หรือยูโรไดนามิกส์ (urodynamics) ใช้ เพื่อตรวจการทำงานของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะขณะที่มีการเติมน้ำเข้าไปใน กระเพาะปัสสาวะ การตรวจนี้จะบอกว่ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะมีการบีบตัวอย่างไม่เหมาะสมเกิด ขึ้นหรือไม่ ถ้ามีการบีบตัวเกิดขึ้น เรียกว่า กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน (detrusor overactivity) นอกจากนี้ ยังใช้ตรวจว่ามีภาวะปัสสาวะเล็ดขณะออกแรง และมีการขับถ่ายปัสสาวะได้หมดหรือมีปัสสาวะตกค้างหรือไม่ 

อาการบอกโรค 

อาการที่จะบ่งบอกว่าคุณมีภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกินจะมีอาการหลักๆ 4 อาการดังนี้ คือ 

  • ปวดปัสสาวะรีบเร่ง (Urgency) หมายถึงอาการรู้สึกอยากถ่ายปัสสาวะ ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันและรุนแรงจนไม่สามารถรอได้ต้องรีบไปห้องน้ำทันที 
  • ปัสสาวะบ่อย (Frequency) หมายถึงมีการปัสสาวะที่บ่อยกว่าปกติ คือ มากกว่า 8 ครั้งต่อวัน (24 ชั่วโมง) จำนวนครั้งที่แต่ละบุคคลถ่ายปัสสาวะในระหว่างวัน แต่โดยทั่วไปนั้นการปัสสาวะมากกว่า 7 ครั้ง ในช่วงเวลาที่ไม่ได้นอนหลับถือว่าเป็นการปัสสาวะที่บ่อยกว่าปกติ 
  • ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน (Nocturia) หมายถึง หลังจากที่เข้านอน ไปแล้วจะต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะตั้งแต่ 2 ครั้งขึ้นไปซึ่งคนส่วนใหญ่สามารถนอนหลับได้ 6-8 ชั่วโมงโดยไม่ต้องปัสสาวะ 
  • กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ หรือ ปัสสาวะเล็ดราด (Urge incontinence) หมายถึงมีการเล็ดราดของปัสสาวะที่ไม่สามารถควบคุมได้เนื่องจาก ความรู้สึกปวดปัสสาวะอย่างฉับพลัน อาการนี้จะเป็นอาการอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทุกคนจะต้องมีอาการนี้ร่วมด้ว อาการที่กล่าวมาข้างต้นนั้น อาจจะมีอาการอย่างน้อยหนึ่งอย่างเป็นประจำทุกวัน หรืออาจเป็นๆ หายๆ ก็ได้  

แนวทางการรักษา 

การรักษาแบบประคับประคองและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม 
          การรักษานี้ผู้ป่วยควรที่จะต้องทำความเข้าใจถึงรูปแบบการปัสสาวะของตนเอง โดยอาศัยข้อมูลจากการจดบันทึกปริมาณน้ำดื่มและปริมาณน้ำปัสสาวะในแต่ละครั้งตลอด 24 ชั่วโมง แล้วนำมาปรับเปลี่ยนตามความสามารถที่จะทำได้โดยไม่รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก ตัวอย่างเช่น การลดหรืองดน้ำดื่มในช่วงเวลา 2 ชั่วโมงก่อนเข้านอน และปัสสาวะก่อนที่จะเข้านอน ซึ่งจะช่วยลดการตื่นมาปัสสาวะในช่วงขณะหลับ ในบางรายอาจพบว่ามีการดื่มเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์ช่วยขับปัสสาวะ เช่น เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน จึงจำเป็นที่จะต้องงดหรือลดการดื่มเครื่องดื่มดังกล่าวลง บางรายที่มีการใช้ยารักษาโรคที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ อาจจำเป็นที่ต้องปรึกษาแพทย์ที่สั่งจ่ายยา เพื่อช่วยในการปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ยาอย่างเหมาะสม โดยไม่กระทบต่อการรักษาโรคประจำตัวที่มีอยู่ 
          ในรายที่มีปัญหาไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้นาน หรือมีปัสสาวะราดก่อนที่จะถึงห้องน้ำ แนะนำให้ทำการฝึกการควบคุมปัสสาวะโดยเพิ่มจำนวนเวลา ตัวอย่างเช่น หากผู้ป่วยมีอาการปวดปัสสาวะมาก อาจจะให้พยายามกลั้นปัสสาวะไว้โดยทำกิจกรรมอื่นๆที่ดึงดูดความสนใจ โดยเพิ่มระยะเวลา 5 – 10 นาที ก่อนที่จะไปเข้าห้องน้ำ ในบางครั้งอาการดังกล่าวจะค่อยๆหายไปเอง จนสามารถยืดช่วงเวลาความห่างในการปัสสาวะแต่ละครั้งได้ถึง 3 – 4 ชั่วโมง  

การรักษาโดยการใช้ยารับประทาน 
          ปัจจุบันยาที่ใช้เพื่อรักษามีอยู่ 2 กลุ่มหลักคือ ยากลุ่ม Antimuscarinic drugs และยากลุ่ม Beta-3 agonist โดยทั้งสองกลุ่มนั้นมีผลลดการบีบตัวของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ เพื่อช่วยลดอาการของภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานไวเกิน ทำให้ผู้ป่วยสามารถที่จะกลั้นปัสสาวะไว้ได้นานขึ้น ลดอาการเร่งรีบหาห้องน้ำเมื่อมีอาการปวดปัสสาวะ นอกจากนี้ยังเพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความถี่ในการปัสสาวะลดลง แต่ผู้ป่วยส่วนมากมักจะหยุดใช้ยาไปเอง เนื่องจากยาทั้งสองกลุ่มนั้นมีผลข้างเคียงต่อระบบการทำงานของอวัยวะอื่นๆ โดยยากลุ่ม Antimuscarinic drugs นั้น จะทำให้ ปากแห้ง คอแห้ง ท้องผูก คัน ในผู้สูงอายุอาจมีผลต่อสมองทำให้มีความผิดปกติเกียวกับกระบวนการรับรู้ นอกจากนี้ในผู้ป่วยที่มีปัญหาต้อหินที่ไม่สามารถคุมความดันลูกตาได้ดี จะเป็นข้อห้ามของการใช้ยากลุ่มนี้ เพราะจะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัด ในบางรายอาจเกิดอาการปัสสาวะไม่ออกได้ ส่วนยาในกลุ่ม Beta-3 agonist จะมีผลข้างเคียงที่สำคัญคือ ปากแห้ง คอแห้ง แต่อาจจะน้อยกว่ากลุ่ม Antimuscarinic drugs ความดันโลหิตสูงขึ้น และใจสั่น  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการใช้ยานั้นมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดผลไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะการใช้ยาในระยะยาวอาจมีปัญหาดื้อยาได้ หากผู้ป่วยไม่พยายามที่จะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมร่วมด้วย  
การรักษาโดยใช้การฉีดยาโบทูลินุมท็อกซินเข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ 
            การรักษาโดยการฉีดยาโบทูลินุมท็อกซินเข้ากล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ โดยการส่องกล้องผ่านท่อปัสสาวะ เป็นอีกทางเลือกหนึ่ง (ในกรณีที่ผู้ป่วยดื้อต่อการใช้ยา ไม่ตอบสนองถึงแม้ว่าจะใช้ยาที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดในขนาดยาที่สูงที่สุดแล้วก็ตาม หรือในรายที่ทนผลข้างเคียงจากการใช้ยารับประทานไม่ได้) 
            ก่อนที่ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาโดยวิธีการนี้ ควรได้รับการตรวจยูโรพลศาสตร์ เพื่อประเมินการทำงานของกระเพาะปัสสาวะก่อน อีกทั้งต้องยินยอมและเรียนรู้ที่จะฝึกการสวนน้ำปัสสาวะทิ้งด้วยตนเอง เนื่องจากผลข้างเคียงที่สำคัญจากวิธีการรักษานี้คือ อาการปัสสาวะไม่ออก (Urinary retention) หรือปัสสาวะออกไม่หมด (High residual urine)  ในบางรายอาจทำให้เกิดปัญหาการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะตามมาได้ การรักษาด้วยวิธีการนี้จะได้ผลอยู่ประมาณ  3 – 9 เดือน เมื่อผู้ป่วยมีอาการกลับอีกจำเป็นต้องได้รับการฉีดยาซ้ำ   

การรักษาโดยใช้กระแสไฟฟ้าเพื่อลดการทำงานของระบบประสาทควบคุมกระเพาะปัสสาวะ 
          การรักษาโดยวิธีนี้อาศัยหลักการที่ว่า เมื่อเรากระตุ้นเส้นประสาทควบคุมระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่างซึ่งมาจากเส้นประสาทไขสันหลังระดับกระเบนเหน็บที่ 2 ถึง 4 ด้วยกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำ จะไปเกิดการเปลี่ยนสมดุลของการควบคุมการทำงานของระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง ดังนั้นเมื่อหยุดการกระตุ้นอาการของผู้ป่วยจึงอาจกลับมาเหมือนเดิม ในปัจจุบันมีวิธีการที่ใช้อยู่ 2 แบบ คือ 
          - แบบชั่วคราว (Temporary nerve stimulation) ได้แก่ การกระตุ้นเส้นประสาทที่บริเวณขาโดยใช้การฝังเข็มหรือแผ่นแปะเพื่อส่งกระแสไฟฟ้า ซึ่งผลของการรักษาจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งเส้นประสาทที่กระตุ้นว่าถูกต้องหรือไม่ อีกทั้งผู้ป่วยจะต้องมารับการรักษาสัปดาห์ละ 1 ครั้งที่โรงพยาบาล จนกว่าอาการจะดีขึ้นหรือเป็นที่พอใจ 
          - แบบถาวร (Permanent nerve stimulation) ซึ่งผู้ป่วยจะได้รับการผ่าตัดโดยการใส่เส้นลวดขนาดเล็กเข้าที่บริเวณเส้นประสาทไขสันหลังระดับกระเบนเหน็บที่ 3 และฝังเครื่องกระตุ้นขนาดเล็กไว้ที่บริเวณสะโพก เพื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าขนาดต่ำตลอดเวลา ขั้นตอนการผ่าตัดไม่ซับซ้อนและอยู่โรงพยาบาลในระยะสั้น ขึ้นกับว่าผู้ป่วยมีการตอบสนองในระยะทดสอบดีมากน้อยเพียงใด หลังจากผ่าตัดแล้วผู้ป่วยสามารถกลับไปดำเนินชีวิตได้ตามปกติ และสามารถปิดเปิดเครื่อง เปลี่ยนโปรแกรมของเครื่องได้ตามอาการ ระยะเวลาของเครื่องสามารถใช้งานได้เฉลี่ย 4 – 5 ปี ขึ้นอยู่กับอายุของแบตเตอรี่ 
          ข้อดีของวิธีการนี้ คือ ผลข้างเคียงจากการรักษาค่อนข้างน้อย และมีอยู่ชั่วคราว นอกจากนี้ผู้ป่วยจะไม่เกิดปัญหาปัสสาวะไม่ออก แต่ปัญหาที่สำคัญคือราคาของเครื่องกระตุ้นนั้นยังมีราคาค่อนข้างสูง อีกทั้งผู้ป่วยต้องมีความรู้ความเข้าใจในการปรับเปลี่ยนโปรแกรมเครื่องได้ด้วยตนเอง 

การผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ 
          มีผู้ป่วยจำนวนน้อยรายที่ได้รับการรักษาจากวิธีทั้งหมดข้างต้น แล้วอาการยังไม่ดีขึ้น เลือกที่จะทำการรักษาโดยการผ่าตัดขยายกระเพาะปัสสาวะ โดยนำลำไส้เล็กประมาณ 10 – 15 เซนติเมตร มาเย็บต่อเข้ากับกระเพาะปัสสาวะที่เปิดขยายออก ทำให้ความจุในการเก็บน้ำปัสสาวะมากขึ้น แต่ก่อนที่จะทำการผ่าตัดผู้ป่วยต้องทำความเข้าใจกับผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น ได้แก่ ปัสสาวะมีตะกอนมูก ปัสสาวะออกไม่แรงต้องอาศัยการเบ่งปัสสาวะ ปัสสาวะออกไม่หมด จำเป็นต้องสวนปัสสาวะทิ้งเป็นครั้งคราว มีโอกาสติดเชื้อทางเดินปัสสาวะสูงขึ้น และมีโอกาสเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะสูงกว่าปกติ   ดังนั้นจึงมีผู้ป่วยจำนวนน้อยที่ตัดสินใจรับการรักษาด้วยวิธีนี้ 

ความพร้อมของทีมรักษา 

          แม้ภาวะกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกินจะไม่ได้ส่งผลร้ายแรงกับร่างกาย แต่รบกวนการใช้ชีวิตและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละวัน รวมถึงส่งผลกับสุขภาพได้ในระยะยาว ดังนั้นการหมั่นสังเกตตนเองแล้วรีบพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อทำการรักษาทันทีและถูกวิธี ย่อมช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีไปอีกนาน 

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ ชั้น 4 โซน A


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง