3 วิธีการตรวจมะเร็งเต้านม

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นปัญหาด้านสุขภาพมักจะเริ่มถามหา หนึ่งในภัยเงียบของคุณผู้หญิง คือ “มะเร็งเต้านม” เพราะมักมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจึงมีความสำคัญ เพราะหากตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นย่อมช่วยให้มีโอกาสรักษาให้หายได้ และวิธีการตรวจคัดกรองด้วยตัวเองโดยการตรวจคลำเต้านมด้วยตัวเองก็ยังเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและได้ผลดีอยู่ ดังนั้นการสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของเต้านมควรทำอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตดังนี้

อาการมะเร็งเต้านมที่พบบ่อย

  • คลำพบก้อนที่เต้านม
  • สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่างของเต้านมหรือไม่
  • สังเกตว่ามีการผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัวหรือมีความหนาผิดปกติหรือไม่
  • สังเกตหัวนมว่ามีการหดตัว คัน หรือมีผื่นแดงผิดปกติหรือไม่
  • สังเกตว่ามีเลือด หรือของเหลวไหลออกจากหัวนมหรือไม่

การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ เมื่อคลำพบก้อนในเต้านมอย่าเพิ่งตกใจเพราะก้อนส่วนใหญ่ไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกตินั้นต่อไป

วิธีการตรวจค้นหามะเร็งเต้านมทำอย่างไรได้บ้าง?

1. การตรวจร่างกาย ซึ่งในขั้นต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

     1.1 ท่ายืนหน้ากระจก

 

  • ปล่อยแขนไว้ข้างลำตัวตามสบาย สังเกตเปรียบเทียบขนาดเต้านมทั้งสองข้างว่ามีการบิดเบี้ยวของหัวนม หรือมีสิ่งผิดปกติหรือไม่
  • สำรวจหาความผิดปกติในท่าประสานมือเหนือศีรษะและท่าเท้าเอว
  • โน้มตัวไปข้างหน้าโดยวางมือทั้ง 2 ข้างบนเข่าหรือเก้าอี้ แล้วสังเกตความผิดปกติ

     1.2 ท่านอนราบ

  • นอนราบในท่าที่สบาย
  • ยกแขนข้างที่จะตรวจขึ้นเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมแผ่ราบ โดยเฉพาะบริเวณส่วนบนด้านนอกซึ่งมีเนื้อหนาที่สุด
  • ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของมืออีกข้างหนึ่ง คลำให้ทั่วเต้านมและรักแร้ให้ทั่ว โดยอาจคลำเป็นรูปก้นหอยจากในออกนอกหรือบนล่างก็ได้ โดยไม่บีบเนื้อเต้านม เพราะการบีบทำให้เนื้อนมปกติ รวมเป็นก้อนและเข้าใจผิดได้
  • เมื่อตรวจเสร็จข้างหนึ่งแล้วให้ย้ายมาตรวจอีกข้างหนึ่งด้วยวิธีเดียวกัน

     1.3 ขณะอาบน้ำ

  • ผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็ก ให้ยกแขนข้างที่จะตรวจไว้เหนือศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งคลำเต้านมเป็นรูปก้นหอยจากในออกนอก
  • ผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดใหญ่ให้ใช้มือข้างที่จะตรวจประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งตรวจคลำจากด้านบนลงด้านล่าง

2. การตรวจด้วยวิธีแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านม

การตรวจ “แมมโมแกรม” และอัลตราซาวนด์เต้านมเป็นการตรวจทางรังสีชนิดพิเศษ มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจากการเป็นมะเร็งเต้านมได้ ใครควรตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านมบ้าง

  • ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเป็นประจำทุกปี
  • บุคคลที่มีประวัติตรวจยีนผิดปกติ (Gene mutation) เช่น ยีน BRCA1 และ BRCA2 หรือมีญาติสายตรงที่ตรวจพบยีนผิดปกติควรเริ่มตรวจเป็นประจำทุกปีเร็วขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • บุคคลที่คลำพบก้อนเนื้อ มีเลือดออกที่หัวนม หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่เต้านม

การตรวจอัลตราซาวนด์เป็นการใช้คลื่นความถี่สูงผ่านเข้าไปในเนื้อเต้านม เมื่อคลื่นเสียงกระทบกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะสะท้อนกลับมาเกิดเป็นภาพที่เครื่องตรวจ ทำให้สามารถดูองค์ประกอบได้ว่า สิ่งแปลกปลอมในเต้านมนั้นเป็นถุงน้ำหรือก้อนเนื้อ แต่การอัลตราซาวนด์ไม่สามารถแทนที่การตรวจแมมโมแกรมได้ เพราะไม่สามารถตรวจหาหินปูนได้

3. การตรวจเจาะชิ้นเนื้อ

หากแพทย์ตรวจพบความผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งเต้านมจากแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวนด์ แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อยืนยันต่อไป การเจาะชิ้นเนื้อทำได้ 2 วิธีคือ การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อหรือการผ่าตัดเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อ แพทย์จะพิจารณาว่าควรใช้เครื่องมือสำหรับการระบุตำแหน่งที่ผิดปกติเป็นเครื่องอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) หรือสเตอริโอแทคติก แมมโมแกรม (Stereotactic Mammogram)

ดังนั้นเมื่อถึงวัยอันควรผู้หญิงควรเข้ารับตรวจร่างกายรวมถึงตรวจแมมโมแกรม เพราะเมื่ออายุมากขึ้นก็มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากขึ้น การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และตรวจเอกซเรย์เต้านมเมื่อถึงวัยอันควร เพื่อที่จะวินิจฉัยมะเร็งให้ได้แต่เนิ่น ๆ การรักษาจึงจะได้ผลดี

ข้อมูลจาก รศ.ดร. นพ. สืบวงศ์ จุฑาภิสิทธิ์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์มะเร็ง ชั้น 1 โซน E

 

เมื่ออายุเพิ่มขึ้นปัญหาด้านสุขภาพมักจะเริ่มถามหา หนึ่งในภัยเงียบของคุณผู้หญิง คือ “มะเร็งเต้านม” เพราะมักมาโดยไม่มีสัญญาณเตือน ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้ ดังนั้นการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจึงมีความสำคัญ เพราะหากตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะเริ่มต้นย่อมช่วยให้มีโอกาสรักษาให้หายได้ และวิธีการตรวจคัดกรองด้วยตัวเองโดยการตรวจคลำเต้านมด้วยตัวเองก็ยังเป็นวิธีที่ทำได้ง่ายและได้ผลดีอยู่ ดังนั้นการสังเกตอาการที่เปลี่ยนแปลงของเต้านมควรทำอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตดังนี้

อาการมะเร็งเต้านมที่พบบ่อย

  • คลำพบก้อนที่เต้านม
  • สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงขนาด และรูปร่างของเต้านมหรือไม่
  • สังเกตว่ามีการผิวหนังเปลี่ยนแปลง เช่น รอยบุ๋ม ย่น หดตัวหรือมีความหนาผิดปกติหรือไม่
  • สังเกตหัวนมว่ามีการหดตัว คัน หรือมีผื่นแดงผิดปกติหรือไม่
  • สังเกตว่ามีเลือด หรือของเหลวไหลออกจากหัวนมหรือไม่

การตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำ เมื่อคลำพบก้อนในเต้านมอย่าเพิ่งตกใจเพราะก้อนส่วนใหญ่ไม่ใช่เนื้อร้าย แต่ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุที่แท้จริงของความผิดปกตินั้นต่อไป

วิธีการตรวจค้นหามะเร็งเต้านมทำอย่างไรได้บ้าง?

1. การตรวจร่างกาย ซึ่งในขั้นต้นสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ดังนี้

     1.1 ท่ายืนหน้ากระจก

 

  • ปล่อยแขนไว้ข้างลำตัวตามสบาย สังเกตเปรียบเทียบขนาดเต้านมทั้งสองข้างว่ามีการบิดเบี้ยวของหัวนม หรือมีสิ่งผิดปกติหรือไม่
  • สำรวจหาความผิดปกติในท่าประสานมือเหนือศีรษะและท่าเท้าเอว
  • โน้มตัวไปข้างหน้าโดยวางมือทั้ง 2 ข้างบนเข่าหรือเก้าอี้ แล้วสังเกตความผิดปกติ

     1.2 ท่านอนราบ

  • นอนราบในท่าที่สบาย
  • ยกแขนข้างที่จะตรวจขึ้นเหนือศีรษะเพื่อให้เต้านมแผ่ราบ โดยเฉพาะบริเวณส่วนบนด้านนอกซึ่งมีเนื้อหนาที่สุด
  • ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางของมืออีกข้างหนึ่ง คลำให้ทั่วเต้านมและรักแร้ให้ทั่ว โดยอาจคลำเป็นรูปก้นหอยจากในออกนอกหรือบนล่างก็ได้ โดยไม่บีบเนื้อเต้านม เพราะการบีบทำให้เนื้อนมปกติ รวมเป็นก้อนและเข้าใจผิดได้
  • เมื่อตรวจเสร็จข้างหนึ่งแล้วให้ย้ายมาตรวจอีกข้างหนึ่งด้วยวิธีเดียวกัน

     1.3 ขณะอาบน้ำ

  • ผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดเล็ก ให้ยกแขนข้างที่จะตรวจไว้เหนือศีรษะ แล้วใช้มืออีกข้างหนึ่งคลำเต้านมเป็นรูปก้นหอยจากในออกนอก
  • ผู้หญิงที่มีเต้านมขนาดใหญ่ให้ใช้มือข้างที่จะตรวจประคอง และตรวจคลำเต้านมจากด้านล่าง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งตรวจคลำจากด้านบนลงด้านล่าง

2. การตรวจด้วยวิธีแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านม

การตรวจ “แมมโมแกรม” และอัลตราซาวนด์เต้านมเป็นการตรวจทางรังสีชนิดพิเศษ มีประสิทธิภาพในการตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมได้ตั้งแต่ระยะเริ่มแรก ช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของผู้หญิงจากการเป็นมะเร็งเต้านมได้ ใครควรตรวจแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์เต้านมบ้าง

  • ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ขึ้นไป ควรเริ่มตรวจเป็นประจำทุกปี
  • บุคคลที่มีประวัติตรวจยีนผิดปกติ (Gene mutation) เช่น ยีน BRCA1 และ BRCA2 หรือมีญาติสายตรงที่ตรวจพบยีนผิดปกติควรเริ่มตรวจเป็นประจำทุกปีเร็วขึ้นตามคำแนะนำของแพทย์
  • บุคคลที่คลำพบก้อนเนื้อ มีเลือดออกที่หัวนม หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่เต้านม

การตรวจอัลตราซาวนด์เป็นการใช้คลื่นความถี่สูงผ่านเข้าไปในเนื้อเต้านม เมื่อคลื่นเสียงกระทบกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ จะสะท้อนกลับมาเกิดเป็นภาพที่เครื่องตรวจ ทำให้สามารถดูองค์ประกอบได้ว่า สิ่งแปลกปลอมในเต้านมนั้นเป็นถุงน้ำหรือก้อนเนื้อ แต่การอัลตราซาวนด์ไม่สามารถแทนที่การตรวจแมมโมแกรมได้ เพราะไม่สามารถตรวจหาหินปูนได้

3. การตรวจเจาะชิ้นเนื้อ

หากแพทย์ตรวจพบความผิดปกติที่สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งเต้านมจากแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวนด์ แพทย์จะพิจารณาส่งตรวจชิ้นเนื้อ เพื่อยืนยันต่อไป การเจาะชิ้นเนื้อทำได้ 2 วิธีคือ การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อหรือการผ่าตัดเพื่อเก็บตัวอย่างชิ้นเนื้อพิสูจน์ทางพยาธิวิทยา การใช้เข็มเจาะชิ้นเนื้อ แพทย์จะพิจารณาว่าควรใช้เครื่องมือสำหรับการระบุตำแหน่งที่ผิดปกติเป็นเครื่องอัลตราซาวนด์ (Ultrasound) หรือสเตอริโอแทคติก แมมโมแกรม (Stereotactic Mammogram)

ดังนั้นเมื่อถึงวัยอันควรผู้หญิงควรเข้ารับตรวจร่างกายรวมถึงตรวจแมมโมแกรม เพราะเมื่ออายุมากขึ้นก็มีโอกาสเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากขึ้น การตรวจมะเร็งเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และตรวจเอกซเรย์เต้านมเมื่อถึงวัยอันควร เพื่อที่จะวินิจฉัยมะเร็งให้ได้แต่เนิ่น ๆ การรักษาจึงจะได้ผลดี

ข้อมูลจาก รศ.ดร. นพ. สืบวงศ์ จุฑาภิสิทธิ์

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์มะเร็ง ชั้น 1 โซน E

 


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง