
โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้นในเด็ก
โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA) หมายถึง ความผิดปกติของการหายใจในขณะหลับที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนเพียงบางส่วน หรือทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่ว
อาการโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
- นอนกรนบ่อยมากกว่า 3 คืนต่อสัปดาห์
- หายใจแรงกว่าปกติในขณะนอนหลับ
- มีหยุดหายใจ หรือหายใจดังเฮือก
- ปัสสาวะรดที่นอน
- นอนในท่านั่งหลับ หรือแหงนคอขึ้น
- ริมฝีปากซีดหรือเขียว ตัวเขียว
- ปวดศีรษะตอนตื่นนอน
- ผล็อยหลับหรือง่วงมากผิดปกติเวลากลางวัน
- มีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ซุกซนผิดปกติ หรือสมาธิสั้น ก้าวร้าว
- มีปัญหาการเรียน
อาการแสดง
- น้ำหนักน้อย หรืออ้วนกว่าเกณฑ์
- อัตราการเจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์
- ต่อมทอลซิลโต
- คางเล็กหรือสั้น
- หน้าอะดีนอยด์ (รูปหน้ายาว มักอ้าปาก การสบฟันผิดปกติ เพดานปากโค้งสูง)
- เพดานปากโค้งสูงหรือโหว่
- ความดันโลหิตสูง
ภาวะแทรกซ้อนจากโรค OSA
หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้หลายระบบ ได้แก่
1. ระบบประสาทและพฤติกรรม อาจพบปัญหาได้หลายอย่าง เช่น กลุ่มพฤติกรรมที่มีการซุกซนมากผิดปกติ (hyperactive) โรคสมาธิสั้น (attention deficit and hyperactivity disorders: ADHD) หรืออาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นต้น
2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจห้องซ้ายหนาตัวขึ้น และหากอาการรุนแรงจนมีภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้มีความดันหลอดเลือดในปอดสูง (pulmonary hypertension) และทำให้หัวใจห้องล่างขวาล้มเหลว (right-sided heart failure) ตามมา
3. ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ปัญหาโรคอ้วน การสะสมไขมันที่ผิดปกติ เป็นต้น
การวินิจฉัยโรค OSA ในเด็ก
1. การซักประวัติ เกี่ยวกับการกรน การหยุดหายใจ รวมถึงการปัสสาวะรดที่นอน และประวัติเกี่ยวกับอาการในเวลากลางวัน เช่น อ้าปากหายใจ คัดจมูกการซุกซนมากผิดปกติ ผลการเรียน เป็นต้น
2. การตรวจร่างกาย เช่น การประเมินขนาดของอะดีนอยด์และทอนซิล การตรวจจมูก การประเมินลักษณะโครงสร้างใบหน้า เป็นต้น
3. การตรวจเพิ่มเติม
- การถ่ายภาพทางรังสีของกะโหลกศีรษะด้านข้าง เพื่อใช้ประเมินขนาดของอะดีนอยด์
- การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจส่วนบนขณะตื่น สามารถใช้ในเด็กโตที่ให้ความร่วมมือ
- การตรวจค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนขณะหลับ (overnight pulse oximetry) เป็นการหาระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดขณะหลับ สามารถนำมาใช้เป็นการตรวจคัดกรองโรค OSA ในเด็กได้ถ้าผลเป็นบวก ผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็น OSA ได้สูง แต่ถ้าผลเป็นลบไม่สามารถตัดโรค OSA ออกไปได้ ยังต้องส่งผู้ป่วยไปตรวจการนอนหลับชนิดเต็มรูปแบบ (Polysomnography, PSG) ต่อไป
- การตรวจการนอนหลับชนิดเต็มรูปแบบ (Polysomnography, PSG) เป็นการตรวจมาตรฐานสำหรับการวินิจฉัย OSA
- การตรวจอื่น ๆ เช่น การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจส่วนบนขณะหลับโดยการใช้ยา (Drug Induced Sleep Endoscopy: DISE) เพื่อประเมินการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนในหลายระดับหรือใช้ประเมินในผู้ป่วย OSA ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆมาแล้วแต่ไม่ดีขึ้น
แนวทางการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีโรค OSA
1. การรักษาโดยการผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และทอลซิล เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในผู้ป่วยเด็กที่มีโรค OSA ที่มีต่อมทอนซิลและ/หรืออะดีนอยด์โต
2. การใช้ยาพ่นจมูกกลุ่มสเตียรอยด์ ควรใช้ในผู้ป่วยเด็กที่มีโรค OSA ระดับความรุนแรงน้อยหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดต่อมทอนซิลและ/หรืออะดีนอยด์ได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการตอบสนองต่อยาในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกัน และหลังหยุดใช้ยาอาจมีอาการกลับมาได้
3. การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ในกรณีที่ให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมทอนซิลและ/หรืออะดีนอยด์แล้วยังมีอาการของ OSA หลงเหลืออยู่ หรือ OSA ที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วน โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และโครงสร้างใบหน้าผิดปกติที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้สำเร็จ
4. การรักษาอื่น ๆ เช่น ทันตกรรมจัดฟัน หรือการฝึกกล้ามเนื้อบริเวณหน้าใบหน้าและคอ (Myofunctional therapy) เพื่อลดการนอนกรน เป็นต้น
ข้อมูลจาก : อ.พญ.ศริสา ถาวรกิจ กุมารแพทย์ระบบหายใจและการนอนหลับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E
บทความที่เกี่ยวข้อง
โรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น (Obstructive Sleep Apnea: OSA) หมายถึง ความผิดปกติของการหายใจในขณะหลับที่มีการอุดกั้นของทางเดินหายใจส่วนบนเพียงบางส่วน หรือทั้งหมด ซึ่งส่งผลให้เกิดการหยุดหายใจหรือหายใจแผ่ว
อาการโรคหยุดหายใจขณะหลับจากการอุดกั้น
- นอนกรนบ่อยมากกว่า 3 คืนต่อสัปดาห์
- หายใจแรงกว่าปกติในขณะนอนหลับ
- มีหยุดหายใจ หรือหายใจดังเฮือก
- ปัสสาวะรดที่นอน
- นอนในท่านั่งหลับ หรือแหงนคอขึ้น
- ริมฝีปากซีดหรือเขียว ตัวเขียว
- ปวดศีรษะตอนตื่นนอน
- ผล็อยหลับหรือง่วงมากผิดปกติเวลากลางวัน
- มีปัญหาด้านพฤติกรรม เช่น ซุกซนผิดปกติ หรือสมาธิสั้น ก้าวร้าว
- มีปัญหาการเรียน
อาการแสดง
- น้ำหนักน้อย หรืออ้วนกว่าเกณฑ์
- อัตราการเจริญเติบโตช้ากว่าเกณฑ์
- ต่อมทอลซิลโต
- คางเล็กหรือสั้น
- หน้าอะดีนอยด์ (รูปหน้ายาว มักอ้าปาก การสบฟันผิดปกติ เพดานปากโค้งสูง)
- เพดานปากโค้งสูงหรือโหว่
- ความดันโลหิตสูง
ภาวะแทรกซ้อนจากโรค OSA
หากปล่อยไว้โดยไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาได้หลายระบบ ได้แก่
1. ระบบประสาทและพฤติกรรม อาจพบปัญหาได้หลายอย่าง เช่น กลุ่มพฤติกรรมที่มีการซุกซนมากผิดปกติ (hyperactive) โรคสมาธิสั้น (attention deficit and hyperactivity disorders: ADHD) หรืออาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว เป็นต้น
2. ระบบหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ ความดันโลหิตสูง หัวใจห้องซ้ายหนาตัวขึ้น และหากอาการรุนแรงจนมีภาวะพร่องออกซิเจนในเลือดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้มีความดันหลอดเลือดในปอดสูง (pulmonary hypertension) และทำให้หัวใจห้องล่างขวาล้มเหลว (right-sided heart failure) ตามมา
3. ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ปัญหาโรคอ้วน การสะสมไขมันที่ผิดปกติ เป็นต้น
การวินิจฉัยโรค OSA ในเด็ก
1. การซักประวัติ เกี่ยวกับการกรน การหยุดหายใจ รวมถึงการปัสสาวะรดที่นอน และประวัติเกี่ยวกับอาการในเวลากลางวัน เช่น อ้าปากหายใจ คัดจมูกการซุกซนมากผิดปกติ ผลการเรียน เป็นต้น
2. การตรวจร่างกาย เช่น การประเมินขนาดของอะดีนอยด์และทอนซิล การตรวจจมูก การประเมินลักษณะโครงสร้างใบหน้า เป็นต้น
3. การตรวจเพิ่มเติม
- การถ่ายภาพทางรังสีของกะโหลกศีรษะด้านข้าง เพื่อใช้ประเมินขนาดของอะดีนอยด์
- การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจส่วนบนขณะตื่น สามารถใช้ในเด็กโตที่ให้ความร่วมมือ
- การตรวจค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนขณะหลับ (overnight pulse oximetry) เป็นการหาระดับความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดขณะหลับ สามารถนำมาใช้เป็นการตรวจคัดกรองโรค OSA ในเด็กได้ถ้าผลเป็นบวก ผู้ป่วยจะมีโอกาสเป็น OSA ได้สูง แต่ถ้าผลเป็นลบไม่สามารถตัดโรค OSA ออกไปได้ ยังต้องส่งผู้ป่วยไปตรวจการนอนหลับชนิดเต็มรูปแบบ (Polysomnography, PSG) ต่อไป
- การตรวจการนอนหลับชนิดเต็มรูปแบบ (Polysomnography, PSG) เป็นการตรวจมาตรฐานสำหรับการวินิจฉัย OSA
- การตรวจอื่น ๆ เช่น การส่องกล้องตรวจทางเดินหายใจส่วนบนขณะหลับโดยการใช้ยา (Drug Induced Sleep Endoscopy: DISE) เพื่อประเมินการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนในหลายระดับหรือใช้ประเมินในผู้ป่วย OSA ที่ได้รับการรักษาด้วยวิธีการอื่นๆมาแล้วแต่ไม่ดีขึ้น
แนวทางการรักษาผู้ป่วยเด็กที่มีโรค OSA
1. การรักษาโดยการผ่าตัดต่อมอะดีนอยด์และทอลซิล เป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในผู้ป่วยเด็กที่มีโรค OSA ที่มีต่อมทอนซิลและ/หรืออะดีนอยด์โต
2. การใช้ยาพ่นจมูกกลุ่มสเตียรอยด์ ควรใช้ในผู้ป่วยเด็กที่มีโรค OSA ระดับความรุนแรงน้อยหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถผ่าตัดต่อมทอนซิลและ/หรืออะดีนอยด์ได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการตอบสนองต่อยาในผู้ป่วยแต่ละรายอาจแตกต่างกัน และหลังหยุดใช้ยาอาจมีอาการกลับมาได้
3. การใช้เครื่องอัดอากาศแรงดันบวกชนิดต่อเนื่อง (Continuous Positive Airway Pressure: CPAP) ในกรณีที่ให้การรักษาด้วยการผ่าตัดต่อมทอนซิลและ/หรืออะดีนอยด์แล้วยังมีอาการของ OSA หลงเหลืออยู่ หรือ OSA ที่สัมพันธ์กับภาวะอ้วน โรคระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และโครงสร้างใบหน้าผิดปกติที่ไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ได้สำเร็จ
4. การรักษาอื่น ๆ เช่น ทันตกรรมจัดฟัน หรือการฝึกกล้ามเนื้อบริเวณหน้าใบหน้าและคอ (Myofunctional therapy) เพื่อลดการนอนกรน เป็นต้น
ข้อมูลจาก : อ.พญ.ศริสา ถาวรกิจ กุมารแพทย์ระบบหายใจและการนอนหลับ
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E
บทความที่เกี่ยวข้อง