ไข้เลือดออก อันตรายใกล้ตัวที่คุณต้องรู้

โรคไข้เลือดออก เกิดจากติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ไวรัสเดงกีมี  4 สายพันธุ์ ได้แก่  DEN-1, DEN- 2,  DEN-3 และ DEN-4 โดยมียุงลายเพศเมียเป็นพาหะนำโรค ยุงลายมักเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำขัง พบมากในช่วงฤดูฝน อาการมีตั้งแต่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยไปถึงรุนแรงจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะไข้เลือดออกในเด็ก

ยุงลาย พาหะไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกในเด็ก มีโอกาสเป็นซ้ำได้หรือไม่?
ในแต่ละปีจะมีการระบาดของสายพันธุ์ต่าง ๆ สลับกันไป การติดเชื้อไข้เลือดออกสายพันธุ์หนึ่งจะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต ดังนั้นจึงสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีกจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน โดยการติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 มักมีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรก

กลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกรุนแรง

อาการของโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก

  • ไข้สูงลอยเฉียบพลัน 2 - 7 วัน ร่วมกับอาการปวดศีรษะ
  • ปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา
  • ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง หรือท้องเสียโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
  • อาจมีจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง
  • หน้าแดง ตัวแดง

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์

  • ไข้ลงแล้วแต่อาการแย่ลง
  • อ่อนเพลียมาก ไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำดื่มได้
  • มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นสีแดง สีดำ หรือสีโค้ก
  • อาเจียนมาก ปวดท้องมาก
  • ชีพจรเบาเร็ว
  • ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก ตัวลาย กระสับกระส่าย และริมฝีปากเขียวคล้ำ
  • ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลยเป็นเวลา 4 - 6 ชั่วโมง
  • มีอาการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกตัว เช่น ซึมลง กระสับกระส่าย เอะอะโวยวาย พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น พูดไม่รู้เรื่อง ร้องกวนมากในเด็กเล็ก

การดูแลรักษาไข้เลือดออกในเด็ก

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพดีในการรักษาโรคไข้เลือดออก การรักษาโรคไข้เลือดออกเป็นการรักษาตามอาการ และการเฝ้าระวังติดตามอาการของโรคอย่างใกล้ชิด

  • การลดไข้ ควรเช็ดตัวร่วมกับรับประทานยาลดไข้ (เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น) ห้ามรับประทานยาแอสไพรินหรือยาลดไข้ไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกผิดปกติ
  • ควรรับประทานอาหาร และน้ำดื่มอย่างเพียงพอ หากรับประทานอาหารได้น้อย แนะนำให้ดื่มน้ำเกลือแร่ นม น้ำผลไม้ เลือกรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีดำหรือแดง เช่น น้ำแดง น้ำแตงโม ช็อกโกแลต เป็นต้น  เพราะหากมีอาการอาเจียนอาจทำให้สับสนว่ามีเลือดได้
  • ควรติดตามอาการตามที่แพทย์นัดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในระยะวิกฤต คือช่วงที่ไข้ลดซึ่งมักตรงกับวันที่ 3 - 5 หลังจากเริ่มมีไข้ หากพบผู้ป่วยมีอาการ อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็วแต่อาการไม่ดีขึ้น เพลีย กระสับกระส่าย หน้ามืดจะเป็นลม มือเท้าเย็น ซีมลง ไม่ปัสสาวะนานกว่า 4-6 ชั่วโมง เลือดออกผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

การป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก

  • การป้องกันยุงกัด ได้แก่ ทายากันยุง นอนในมุ้ง ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว
  • การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้าน เช่น ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขัง หมั่นเปลี่ยนน้ำในภาชนะทุกสัปดาห์ คว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ไม่ให้น้ำขังได้  ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูงในอ่างบัว
  • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก

แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้เลือดกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนการฉีดวัคซีน
  • สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 - 60 ปี
  • ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
  • สำหรับผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว ให้ฉีดวัคซีนหลังจากเป็นไข้เลือดออกแล้วอย่างน้อย 6 เดือน

ข้อมูลจาก : พญ.วรพร พุ่มเล็ก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E

โรคไข้เลือดออก เกิดจากติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue virus) ไวรัสเดงกีมี  4 สายพันธุ์ ได้แก่  DEN-1, DEN- 2,  DEN-3 และ DEN-4 โดยมียุงลายเพศเมียเป็นพาหะนำโรค ยุงลายมักเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำขัง พบมากในช่วงฤดูฝน อาการมีตั้งแต่ไม่มีอาการ หรืออาการน้อยไปถึงรุนแรงจนเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะไข้เลือดออกในเด็ก

ยุงลาย พาหะไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกในเด็ก มีโอกาสเป็นซ้ำได้หรือไม่?
ในแต่ละปีจะมีการระบาดของสายพันธุ์ต่าง ๆ สลับกันไป การติดเชื้อไข้เลือดออกสายพันธุ์หนึ่งจะทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต ดังนั้นจึงสามารถติดเชื้อซ้ำได้อีกจากสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน โดยการติดเชื้อซ้ำครั้งที่ 2 มักมีอาการรุนแรงกว่าครั้งแรก

กลุ่มเสี่ยงของโรคไข้เลือดออกรุนแรง

อาการของโรคที่พบได้บ่อยในเด็ก

  • ไข้สูงลอยเฉียบพลัน 2 - 7 วัน ร่วมกับอาการปวดศีรษะ
  • ปวดศีรษะ ปวดรอบกระบอกตา
  • ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง หรือท้องเสียโดยเฉพาะในเด็กเล็ก
  • อาจมีจุดเลือดออกบริเวณผิวหนัง
  • หน้าแดง ตัวแดง

สัญญาณอันตรายที่ต้องรีบไปพบแพทย์

  • ไข้ลงแล้วแต่อาการแย่ลง
  • อ่อนเพลียมาก ไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำดื่มได้
  • มีเลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือด อุจจาระหรือปัสสาวะเป็นสีแดง สีดำ หรือสีโค้ก
  • อาเจียนมาก ปวดท้องมาก
  • ชีพจรเบาเร็ว
  • ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก ตัวลาย กระสับกระส่าย และริมฝีปากเขียวคล้ำ
  • ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลยเป็นเวลา 4 - 6 ชั่วโมง
  • มีอาการเปลี่ยนแปลงของความรู้สึกตัว เช่น ซึมลง กระสับกระส่าย เอะอะโวยวาย พฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น พูดไม่รู้เรื่อง ร้องกวนมากในเด็กเล็ก

การดูแลรักษาไข้เลือดออกในเด็ก

ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่มีประสิทธิภาพดีในการรักษาโรคไข้เลือดออก การรักษาโรคไข้เลือดออกเป็นการรักษาตามอาการ และการเฝ้าระวังติดตามอาการของโรคอย่างใกล้ชิด

  • การลดไข้ ควรเช็ดตัวร่วมกับรับประทานยาลดไข้ (เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น) ห้ามรับประทานยาแอสไพรินหรือยาลดไข้ไอบูโพรเฟน เพราะอาจทำให้เลือดออกผิดปกติ
  • ควรรับประทานอาหาร และน้ำดื่มอย่างเพียงพอ หากรับประทานอาหารได้น้อย แนะนำให้ดื่มน้ำเกลือแร่ นม น้ำผลไม้ เลือกรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีดำหรือแดง เช่น น้ำแดง น้ำแตงโม ช็อกโกแลต เป็นต้น  เพราะหากมีอาการอาเจียนอาจทำให้สับสนว่ามีเลือดได้
  • ควรติดตามอาการตามที่แพทย์นัดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในระยะวิกฤต คือช่วงที่ไข้ลดซึ่งมักตรงกับวันที่ 3 - 5 หลังจากเริ่มมีไข้ หากพบผู้ป่วยมีอาการ อาเจียนมาก ปวดท้องมาก ไข้ลดลงอย่างรวดเร็วแต่อาการไม่ดีขึ้น เพลีย กระสับกระส่าย หน้ามืดจะเป็นลม มือเท้าเย็น ซีมลง ไม่ปัสสาวะนานกว่า 4-6 ชั่วโมง เลือดออกผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด

การป้องกันไข้เลือดออกในเด็ก

  • การป้องกันยุงกัด ได้แก่ ทายากันยุง นอนในมุ้ง ใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว
  • การทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายบริเวณบ้าน เช่น ปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขัง หมั่นเปลี่ยนน้ำในภาชนะทุกสัปดาห์ คว่ำภาชนะที่ไม่ใช้ไม่ให้น้ำขังได้  ปล่อยปลากินลูกน้ำ เช่น ปลาหางนกยูงในอ่างบัว
  • การฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้เลือดออก

แนะนำให้ฉีดวัคซีนไข้เลือดกับใครบ้าง?

  • ผู้ที่เคยและไม่เคยเป็นไข้เลือดออกมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนการฉีดวัคซีน
  • สามารถฉีดได้ตั้งแต่อายุ 4 - 60 ปี
  • ฉีดทั้งหมด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน
  • สำหรับผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้ว ให้ฉีดวัคซีนหลังจากเป็นไข้เลือดออกแล้วอย่างน้อย 6 เดือน

ข้อมูลจาก : พญ.วรพร พุ่มเล็ก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง