
หน้าฝนเฝ้าระวัง ไข้เลือดออกในเด็ก
โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) ซึ่งมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่ 1, 2, 3 และ 4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ยุงชนิดนี้มักเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำขัง พบมากในฤดูฝนเพราะเป็นฤดูกาลแพร่พันธุ์ของยุงลายที่สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว
เมื่อเด็กได้รับเชื้ออาจมีอาการแตกต่างกัน แบ่งได้ 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มอาการไข้ไม่ทราบสาเหตุ คือ อาการคล้ายติดเชื้อไวรัสทั่วไป มีไข้ หรืออาจมีผื่นร่วมด้วย
2. กลุ่มอาการโรคไข้เดงกี่ (Dengue fever) จะมีอาการเกิดไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา อาจมีจุดเลือดออกเกิดขึ้นใต้ผิวหนังได้ โดยทั่วไปมักมีอาการไม่รุนแรง
3. กลุ่มอาการโรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) มีอาการไข้สูงเฉียบพลันเป็นเวลา 2-7 วัน หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา อาจมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือมีเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ เลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
การตวรจวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยอาการร่วมกับผลการตรวจเลือด ได้แก่ ผลการตรวจนับเม็ดเลือด ผลการตรวจหา NS1 ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างโดยไวรัส และผลการตรวจแอนติบอดี้ของร่างกายที่มีต่อเชื้อไวรัสเดงกี่
วิธีสังเกตอาการ
หากลูกมีอาการดังต่อไปนี้ จะบ่งชี้ว่าเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง จำเป็นต้องรีบพามาพบแพทย์ทันที ได้แก่
- อ่อนเพลียมาก ไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำดื่มได้
- มีเลือดออก
- ไข้ลงแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
- อาเจียนมาก ปวดท้องมาก
- ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ
- ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก ตัวลาย กระสับกระส่าย และริมฝีปากเขียวคล้ำ
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลยเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง
- มีอาการเปลี่ยนแปลงของการรู้สึกตัว เช่น ซึมลง เอะอะโวยวาย พูดจาหยาบคาย หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว
รู้ทันรักษาได้
การรักษาโรคไข้เลือดออกยังคงเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น แต่การรักษาที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ และการเฝ้าระวังติดตามอาการของโรคตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
1. การลดไข้ ควรเช็ดตัวร่วมกับให้รับประทานยาลดไข้ (เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น) ไม่ควรรับประทานยาแอสไพรินหรือยาลดไข้ไอบูโพรเฟน
2. ดื่มน้ำเกลือแร่ เลือกรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีดำหรือแดง เช่น น้ำแดง น้ำแตงโม ช็อกโกแลต เป็นต้น เพราะหากมีอาการอาเจียนอาจทำให้สับสนว่ามีเลือดได้
3. ควรติดตามอาการที่แพทย์นัด โดยเฉพาะในระยะวิกฤต คือช่วงที่ไข้ลดซึ่งมักตรงกับวันที่ 3-5 หลังจากเริ่มมีไข้
โรคไข้เลือดออกป้องกันได้
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- เลี้ยงปลาหรือใส่ทรายอะเบทเพื่อกำจัดลูกน้ำ
- หาฝาปิดภาชนะเพื่อกันน้ำขัง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E
โรคไข้เลือดออก เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี่ (Dengue) ซึ่งมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ เดงกี่ 1, 2, 3 และ 4 โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ยุงชนิดนี้มักเพาะพันธุ์ตามแหล่งน้ำขัง พบมากในฤดูฝนเพราะเป็นฤดูกาลแพร่พันธุ์ของยุงลายที่สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว
เมื่อเด็กได้รับเชื้ออาจมีอาการแตกต่างกัน แบ่งได้ 3 กลุ่มคือ
1. กลุ่มอาการไข้ไม่ทราบสาเหตุ คือ อาการคล้ายติดเชื้อไวรัสทั่วไป มีไข้ หรืออาจมีผื่นร่วมด้วย
2. กลุ่มอาการโรคไข้เดงกี่ (Dengue fever) จะมีอาการเกิดไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระบอกตา อาจมีจุดเลือดออกเกิดขึ้นใต้ผิวหนังได้ โดยทั่วไปมักมีอาการไม่รุนแรง
3. กลุ่มอาการโรคไข้เลือดออก (Dengue hemorrhagic fever) มีอาการไข้สูงเฉียบพลันเป็นเวลา 2-7 วัน หน้าแดง ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องบริเวณลิ้นปี่หรือใต้ชายโครงขวา อาจมีจุดเลือดออกใต้ผิวหนัง หรือมีเลือดออกที่อวัยวะอื่นๆ เลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
การตวรจวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉัยอาการร่วมกับผลการตรวจเลือด ได้แก่ ผลการตรวจนับเม็ดเลือด ผลการตรวจหา NS1 ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างโดยไวรัส และผลการตรวจแอนติบอดี้ของร่างกายที่มีต่อเชื้อไวรัสเดงกี่
วิธีสังเกตอาการ
หากลูกมีอาการดังต่อไปนี้ จะบ่งชี้ว่าเป็นโรคไข้เลือดออกรุนแรง จำเป็นต้องรีบพามาพบแพทย์ทันที ได้แก่
- อ่อนเพลียมาก ไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำดื่มได้
- มีเลือดออก
- ไข้ลงแล้ว แต่อาการยังไม่ดีขึ้น
- อาเจียนมาก ปวดท้องมาก
- ชีพจรเต้นเร็วผิดปกติ
- ตัวเย็นชื้น เหงื่อออก ตัวลาย กระสับกระส่าย และริมฝีปากเขียวคล้ำ
- ปัสสาวะน้อยลง หรือไม่ปัสสาวะเลยเป็นเวลา 4-6 ชั่วโมง
- มีอาการเปลี่ยนแปลงของการรู้สึกตัว เช่น ซึมลง เอะอะโวยวาย พูดจาหยาบคาย หรือมีพฤติกรรมก้าวร้าว
รู้ทันรักษาได้
การรักษาโรคไข้เลือดออกยังคงเป็นเพียงการรักษาตามอาการเท่านั้น แต่การรักษาที่ดีที่สุดนั้นขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ และการเฝ้าระวังติดตามอาการของโรคตามที่แพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัด
1. การลดไข้ ควรเช็ดตัวร่วมกับให้รับประทานยาลดไข้ (เฉพาะพาราเซตามอลเท่านั้น) ไม่ควรรับประทานยาแอสไพรินหรือยาลดไข้ไอบูโพรเฟน
2. ดื่มน้ำเกลือแร่ เลือกรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีดำหรือแดง เช่น น้ำแดง น้ำแตงโม ช็อกโกแลต เป็นต้น เพราะหากมีอาการอาเจียนอาจทำให้สับสนว่ามีเลือดได้
3. ควรติดตามอาการที่แพทย์นัด โดยเฉพาะในระยะวิกฤต คือช่วงที่ไข้ลดซึ่งมักตรงกับวันที่ 3-5 หลังจากเริ่มมีไข้
โรคไข้เลือดออกป้องกันได้
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย
- เลี้ยงปลาหรือใส่ทรายอะเบทเพื่อกำจัดลูกน้ำ
- หาฝาปิดภาชนะเพื่อกันน้ำขัง
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E