ไข้หวัดในเด็ก อย่าปล่อยให้เรื้อรัง

โรคในเด็กที่พบบ่อยในฤดูฝนคือ ไข้หวัด ส่วนโรคอื่นๆ ที่พบเพิ่มขึ้นคือ โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออก 

สาเหตุของไข้หวัด

   เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยติดต่อกันทางน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม โดยเฉพาะการอยู่ในที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียน ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ในเด็กเล็กและคนสูงอายุ อาจติดไข้หวัดได้ง่าย และมีอาการรุนแรงกว่าในช่วงอายุอื่นๆ

อาการของไข้หวัด 

   อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีก็ได้ มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล ส่วนมากในช่วงแรกจะมีน้ำมูกใส ถ้าเป็นหลายวัน
สีน้ำมูกจะข้นขึ้น นอกจากนี้จะมีอาการคัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ออก ในเด็กเล็กอาจจะมีอาการกวน หรืองอแงมากกว่าปกติ

โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออกจะแยกจากไข้หวัดธรรมดาได้อย่างไร 

   โรคไข้หวัดธรรมดามักจะไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ มีอาการน้ำมูก ไอ จามชัดเจน ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่มักจะไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ผู้ป่วยจะค่อนข้างซม ขณะที่เด็กเป็นไข้หวัดธรรมดาอาจงอแงบ้างแต่ยังเล่นได้ ส่วนไข้เลือดออกนั้นจะมีไข้สูงลอย ทานยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ค่อยลง มีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกระดูก อาจมีปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน มักมีจุดเลือดออกหลังจากมีไข้ 3 - 4 วัน มักจะไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ดังนั้นกรณีที่มีไข้สูงลอยเกินกว่า 2 – 3 วัน และมีอาการดังกล่าวไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์
โรคไข้หวัดโดยทั่วไป อาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เอง (ในกรณีเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัว)

กรณีที่เพิ่งเป็นโรคไข้หวัดอาการไม่รุนแรง จำเป็นต้องรีบมาพบแพทย์ทันทีหรือไม่

   ไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ทันที สามารถทำการดูแลเบื้องต้นได้ แต่ในกรณีที่เป็นเด็กเล็กมาก หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องควรมาปรึกษาแพทย์

คุณพ่อคุณแม่ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร

   โดยทั่วไปเมื่อลูกเป็นหวัด ควรให้ความอบอุ่นให้เพียงพอ ถ้าลูกมีอาการไอให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากมีไข้ต่ำควรลดไข้ โดยเช็ดตัวลูกด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง หากไข้ยังไม่ลด ให้เช็ดตัวร่วมกับการรับประทานยาลดไข้ ตามน้ำหนักตัว เช่น Paracetamol ให้ขนาด 10 มิลลิกรัม/น้ำหนัก 1 กก. ทุก 4 - 6 ชม. เวลามีไข้

อาการน้ำมูกถ้ามีไม่มาก ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเกลือเช็ดในรูจมูก หรือถ้ามีน้ำมูกมากให้ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกออก หรือการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (0.9% NSS) ในเด็กโต

 

 

การใช้ยา ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นไม่ดีขึ้น 

   ถ้าลูกยังมีอาการน้ำมูกแน่น หรือคัดจมูกมาก คุณพ่อคุณแม่สามาถให้ลูกรับประทานยาแก้หวัดได้ โดยต้องคำนึงถึงน้ำหนักตัวของลูก ส่วนยาแก้หวัด พวกต้านฤทธิ์ฮีสตามีนนั้นไม่นิยมให้ในเด็กเล็ก หรือผู้ป่วยที่เป็นหอบหืดรับประทาน ยากลุ่มนี้จะทำให้น้ำมูกแห้งและจามน้อยลง ส่วนอาการคัดจมูกจะต้องใช้ยากลุ่มที่ยุบบวมในจมูก ซึ่งไม่นิยมในเด็กเล็กเช่นกัน ในกรณีแน่นจมูกมาก หายใจไม่ออก อาจให้ยาเช็ดจมูกช่วยยุบบวมในจมูกได้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์เร็วช่วยให้โล่งจมูกทันที แต่ไม่ควรจะใช้นานเกิน 3 วัน ถ้าใช้แล้ว 3 วัน จะต้องหยุดยาก่อน ถ้าเป็นใหม่ครั้งต่อไปสามารถนำมาใช้อีกได้ ยานี้ถ้าใช้ติดกันนานจะเกิดผลข้างเคียงต่อจมูกทำให้เยื่อบุจมูกเกิดการอักเสบและบวมเพิ่มขึ้นได้ 
   ส่วนยาปฏิชีวนะที่เรียกกันทั่วไปว่ายาฆ่าเชื้อ หรือยาแก้อักเสบนั้นไม่ควรให้ผู้ป่วยหวัดทั่วไป เนื่องจากโรคไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จะนำมาใช้ในกรณีมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานอยู่เดิมเท่านั้น ยาฆ่าเชื้อไวรัส ยังไม่มียาที่นำมาใช้เฉพาะสำหรับโรคนี้ เนื่องจากอาการไม่รุนแรงและอาจมีผลข้างเคียงด้วย ยกเว้นในกรณีไข้หวัดใหญ่ มีการใช้ยา Oseltamivir ในการรักษา

เมื่อได้รับการรักษาแล้ว ลูกเริ่มมีอาการดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยาต่อหรือไม่ 

    เมื่ออาการดีขึ้นสามารถหยุดยาแก้หวัด และลดไข้ได้ แต่คงต้องเฝ้าระวังอาการว่าจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าเด็กหายใจไม่สะดวก ไม่แนะนำให้ใช้ยายูคาลิปตัสหรือยาจำพวกยาดมทาบริเวณหน้าอก หรือโพรงจมูก เนื่องจากจะทำให้ระคายเยื่อบุจมูก และเกิดการอักเสบตามได้ โดยเฉพาะถ้าใช้ทาโดยตรง หรือให้สูดดมเป็นเวลานาน ๆ แต่กรณีที่คุณพ่อคุณแม่ยืนยันจะใช้แนะนำให้ใช้ในเด็กโต ไม่ควรใช้ทาโดยตรง และควรใช้ระยะสั้นที่สุด

ในกรณี ถ้าลูกเป็นโรคไข้หวัดเรื้อรังจะมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้อีกหรือไม่ 

    หากลูกเป็นโรคไข้หวัดเรื้อรัง คือมีอาการเป็นหวัดเป็นเวลานานมากกว่า 10 วัน จะต้องพิจารณาดูว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ เช่น หูน้ำหนวก ไซนัสอักเสบ หรือปอดอักเสบ โรคอื่น ๆ ที่อาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคไข้หวัดได้แก่ โรคภูมิแพ้ของจมูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมในจมูก ทำให้เกิดเป็นไข้หวัดเรื้อรัง ในภูมิแพ้จมูกจะพบผู้ป่วยคันจมูก คันตา น้ำมูกใส แน่นคัดจมูก ส่วนมากจะเป็นตอนเช้ามืดและเวลากลางคืน พอสายอาการจะดีขึ้น ในรายที่มีสิ่งแปลกปลอมในจมูกมักพบในเด็กอายุ 2 - 5 ปี มีอาการน้ำมูกข้น ๆ เขียวหรือเหลืองไหลจากจมูกข้างเดียว อาจมีกลิ่นเหม็นจากจมูกข้างนั้นด้วยก็ได้ ในกรณีหูน้ำหนวกอาจมีอาการปวดหู หรือถ้าแก้วหูทะลุก็อาจมีหนองไหลออกจากหู ในกรณีที่มีไซนัสอักเสบ อาจมีอาการน้ำมูกข้นเขียว เสมหะข้น ๆ ลงคอ ไอ มีเสมหะ กระแอมไอ หายใจมีกลิ่น อาจมีอาการปวดศีรษะหรือหายใจไม่ได้กลิ่นร่วมด้วย ในรายที่มีปอดอักเสบ จะพบไข้สูง ไอมาก หายใจเร็วขึ้นได้

วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดมีหรือไม่ 

    เนื่องจากโรคไข้หวัดสามารถเกิดจากไวรัสหลายชนิด การทำวัคซีนเป็นไปได้ยาก จึงยังไม่มีวัคซีนเฉพาะ วัคซีนที่ควรฉีดคือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ฉีดได้ทุกช่วงอายุ และควรฉีดทุกปี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุหรือผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ

 

 

ข้อแนะนำในการดูแลร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัด 

1. ทำร่างกายให้อบอุ่น โดยเฉพาะหน้าฝน ควรพกร่ม หรือเสื้อกันฝนติดตัวไว้ ถ้าหากเปียกฝนรีบเช็ดตัวให้แห้งเร็วที่สุด ไม่ให้โดนอากาศเย็น 
2. ควรเลี่ยง ฝุ่น ควัน รวมถึงควันรถ ควันบุหรี่ด้วยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทางเดินหายใจอักเสบ ทำให้เกิดการติดเชื้อไข้หวัดได้ง่ายขึ้น 
3. ไม่ควรอยู่ในที่แออัดที่อากาศถ่ายเทไม่ดี หรืออยู่ร่วมกับคนที่เป็นไข้หวัด จะทำให้ติดไข้หวัดได้ง่าย ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยรับประทานอาหารให้เพียงพอ และถูกสัดส่วน รวมทั้งออกกำลังให้เพียงพอ
4. ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี

ข้อมูลจาก : พญ. วรพร พุ่มเล็ก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E

โรคในเด็กที่พบบ่อยในฤดูฝนคือ ไข้หวัด ส่วนโรคอื่นๆ ที่พบเพิ่มขึ้นคือ โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออก 

สาเหตุของไข้หวัด

   เกิดจากการติดเชื้อไวรัส โดยติดต่อกันทางน้ำมูก น้ำลาย จากการไอ จาม โดยเฉพาะการอยู่ในที่แออัด เช่น สถานเลี้ยงเด็ก โรงเรียน ห้างสรรพสินค้าต่างๆ ที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ในเด็กเล็กและคนสูงอายุ อาจติดไข้หวัดได้ง่าย และมีอาการรุนแรงกว่าในช่วงอายุอื่นๆ

อาการของไข้หวัด 

   อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีก็ได้ มีอาการไอ จาม น้ำมูกไหล ส่วนมากในช่วงแรกจะมีน้ำมูกใส ถ้าเป็นหลายวัน
สีน้ำมูกจะข้นขึ้น นอกจากนี้จะมีอาการคัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่ออก ในเด็กเล็กอาจจะมีอาการกวน หรืองอแงมากกว่าปกติ

โรคไข้หวัดใหญ่ และโรคไข้เลือดออกจะแยกจากไข้หวัดธรรมดาได้อย่างไร 

   โรคไข้หวัดธรรมดามักจะไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ มีอาการน้ำมูก ไอ จามชัดเจน ส่วนโรคไข้หวัดใหญ่มักจะไข้สูง ปวดเมื่อยตัว ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน ผู้ป่วยจะค่อนข้างซม ขณะที่เด็กเป็นไข้หวัดธรรมดาอาจงอแงบ้างแต่ยังเล่นได้ ส่วนไข้เลือดออกนั้นจะมีไข้สูงลอย ทานยาลดไข้ ไข้ก็ไม่ค่อยลง มีอาการหน้าแดง อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกระดูก อาจมีปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน มักมีจุดเลือดออกหลังจากมีไข้ 3 - 4 วัน มักจะไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก ดังนั้นกรณีที่มีไข้สูงลอยเกินกว่า 2 – 3 วัน และมีอาการดังกล่าวไม่ดีขึ้นควรรีบปรึกษาแพทย์
โรคไข้หวัดโดยทั่วไป อาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เอง (ในกรณีเด็กที่ไม่มีโรคประจำตัว)

กรณีที่เพิ่งเป็นโรคไข้หวัดอาการไม่รุนแรง จำเป็นต้องรีบมาพบแพทย์ทันทีหรือไม่

   ไม่จำเป็นต้องมาพบแพทย์ทันที สามารถทำการดูแลเบื้องต้นได้ แต่ในกรณีที่เป็นเด็กเล็กมาก หรือเด็กที่มีโรคประจำตัว เช่น หอบหืด โรคหัวใจ โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องควรมาปรึกษาแพทย์

คุณพ่อคุณแม่ควรปฐมพยาบาลเบื้องต้นอย่างไร

   โดยทั่วไปเมื่อลูกเป็นหวัด ควรให้ความอบอุ่นให้เพียงพอ ถ้าลูกมีอาการไอให้ดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ หากมีไข้ต่ำควรลดไข้ โดยเช็ดตัวลูกด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำอุณหภูมิห้อง หากไข้ยังไม่ลด ให้เช็ดตัวร่วมกับการรับประทานยาลดไข้ ตามน้ำหนักตัว เช่น Paracetamol ให้ขนาด 10 มิลลิกรัม/น้ำหนัก 1 กก. ทุก 4 - 6 ชม. เวลามีไข้

อาการน้ำมูกถ้ามีไม่มาก ใช้สำลีพันปลายไม้ชุบน้ำอุ่นหรือน้ำเกลือเช็ดในรูจมูก หรือถ้ามีน้ำมูกมากให้ใช้ลูกยางแดงดูดน้ำมูกออก หรือการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (0.9% NSS) ในเด็กโต

การใช้ยา ในกรณีที่การรักษาเบื้องต้นไม่ดีขึ้น 

   ถ้าลูกยังมีอาการน้ำมูกแน่น หรือคัดจมูกมาก คุณพ่อคุณแม่สามาถให้ลูกรับประทานยาแก้หวัดได้ โดยต้องคำนึงถึงน้ำหนักตัวของลูก ส่วนยาแก้หวัด พวกต้านฤทธิ์ฮีสตามีนนั้นไม่นิยมให้ในเด็กเล็ก หรือผู้ป่วยที่เป็นหอบหืดรับประทาน ยากลุ่มนี้จะทำให้น้ำมูกแห้งและจามน้อยลง ส่วนอาการคัดจมูกจะต้องใช้ยากลุ่มที่ยุบบวมในจมูก ซึ่งไม่นิยมในเด็กเล็กเช่นกัน ในกรณีแน่นจมูกมาก หายใจไม่ออก อาจให้ยาเช็ดจมูกช่วยยุบบวมในจมูกได้ ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์เร็วช่วยให้โล่งจมูกทันที แต่ไม่ควรจะใช้นานเกิน 3 วัน ถ้าใช้แล้ว 3 วัน จะต้องหยุดยาก่อน ถ้าเป็นใหม่ครั้งต่อไปสามารถนำมาใช้อีกได้ ยานี้ถ้าใช้ติดกันนานจะเกิดผลข้างเคียงต่อจมูกทำให้เยื่อบุจมูกเกิดการอักเสบและบวมเพิ่มขึ้นได้ 
   ส่วนยาปฏิชีวนะที่เรียกกันทั่วไปว่ายาฆ่าเชื้อ หรือยาแก้อักเสบนั้นไม่ควรให้ผู้ป่วยหวัดทั่วไป เนื่องจากโรคไข้หวัดเกิดจากเชื้อไวรัส จะนำมาใช้ในกรณีมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน หรือกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องภูมิต้านทานอยู่เดิมเท่านั้น ยาฆ่าเชื้อไวรัส ยังไม่มียาที่นำมาใช้เฉพาะสำหรับโรคนี้ เนื่องจากอาการไม่รุนแรงและอาจมีผลข้างเคียงด้วย ยกเว้นในกรณีไข้หวัดใหญ่ มีการใช้ยา Oseltamivir ในการรักษา

เมื่อได้รับการรักษาแล้ว ลูกเริ่มมีอาการดีขึ้น จำเป็นต้องรับประทานยาต่อหรือไม่ 

    เมื่ออาการดีขึ้นสามารถหยุดยาแก้หวัด และลดไข้ได้ แต่คงต้องเฝ้าระวังอาการว่าจะมีอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้นหรือไม่ ถ้าเด็กหายใจไม่สะดวก ไม่แนะนำให้ใช้ยายูคาลิปตัสหรือยาจำพวกยาดมทาบริเวณหน้าอก หรือโพรงจมูก เนื่องจากจะทำให้ระคายเยื่อบุจมูก และเกิดการอักเสบตามได้ โดยเฉพาะถ้าใช้ทาโดยตรง หรือให้สูดดมเป็นเวลานาน ๆ แต่กรณีที่คุณพ่อคุณแม่ยืนยันจะใช้แนะนำให้ใช้ในเด็กโต ไม่ควรใช้ทาโดยตรง และควรใช้ระยะสั้นที่สุด

ในกรณี ถ้าลูกเป็นโรคไข้หวัดเรื้อรังจะมีอันตรายมากน้อยแค่ไหน จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ ได้อีกหรือไม่ 

    หากลูกเป็นโรคไข้หวัดเรื้อรัง คือมีอาการเป็นหวัดเป็นเวลานานมากกว่า 10 วัน จะต้องพิจารณาดูว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนหรือไม่ เช่น หูน้ำหนวก ไซนัสอักเสบ หรือปอดอักเสบ โรคอื่น ๆ ที่อาจเข้าใจผิดว่าเป็นโรคไข้หวัดได้แก่ โรคภูมิแพ้ของจมูก หรือมีสิ่งแปลกปลอมในจมูก ทำให้เกิดเป็นไข้หวัดเรื้อรัง ในภูมิแพ้จมูกจะพบผู้ป่วยคันจมูก คันตา น้ำมูกใส แน่นคัดจมูก ส่วนมากจะเป็นตอนเช้ามืดและเวลากลางคืน พอสายอาการจะดีขึ้น ในรายที่มีสิ่งแปลกปลอมในจมูกมักพบในเด็กอายุ 2 - 5 ปี มีอาการน้ำมูกข้น ๆ เขียวหรือเหลืองไหลจากจมูกข้างเดียว อาจมีกลิ่นเหม็นจากจมูกข้างนั้นด้วยก็ได้ ในกรณีหูน้ำหนวกอาจมีอาการปวดหู หรือถ้าแก้วหูทะลุก็อาจมีหนองไหลออกจากหู ในกรณีที่มีไซนัสอักเสบ อาจมีอาการน้ำมูกข้นเขียว เสมหะข้น ๆ ลงคอ ไอ มีเสมหะ กระแอมไอ หายใจมีกลิ่น อาจมีอาการปวดศีรษะหรือหายใจไม่ได้กลิ่นร่วมด้วย ในรายที่มีปอดอักเสบ จะพบไข้สูง ไอมาก หายใจเร็วขึ้นได้

วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดมีหรือไม่ 

    เนื่องจากโรคไข้หวัดสามารถเกิดจากไวรัสหลายชนิด การทำวัคซีนเป็นไปได้ยาก จึงยังไม่มีวัคซีนเฉพาะ วัคซีนที่ควรฉีดคือ วัคซีนไข้หวัดใหญ่ เริ่มฉีดได้ตั้งแต่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ฉีดได้ทุกช่วงอายุ และควรฉีดทุกปี โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุหรือผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังต่าง ๆ

ข้อแนะนำในการดูแลร่างกาย เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นไข้หวัด 

1. ทำร่างกายให้อบอุ่น โดยเฉพาะหน้าฝน ควรพกร่ม หรือเสื้อกันฝนติดตัวไว้ ถ้าหากเปียกฝนรีบเช็ดตัวให้แห้งเร็วที่สุด ไม่ให้โดนอากาศเย็น 
2. ควรเลี่ยง ฝุ่น ควัน รวมถึงควันรถ ควันบุหรี่ด้วยเป็นสิ่งจำเป็น เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ทางเดินหายใจอักเสบ ทำให้เกิดการติดเชื้อไข้หวัดได้ง่ายขึ้น 
3. ไม่ควรอยู่ในที่แออัดที่อากาศถ่ายเทไม่ดี หรืออยู่ร่วมกับคนที่เป็นไข้หวัด จะทำให้ติดไข้หวัดได้ง่าย ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรงโดยรับประทานอาหารให้เพียงพอ และถูกสัดส่วน รวมทั้งออกกำลังให้เพียงพอ
4. ควรฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ทุกปี

ข้อมูลจาก : พญ. วรพร พุ่มเล็ก

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ คลิก!! ศูนย์เด็ก ชั้น 3 โซน E


ค้นหาแพทย์

สาระสุขภาพ

ศูนย์รักษาโรคเฉพาะทาง